โพลสำรวจรายจ่ายผู้ปกครองรับเปิดเทอมปีนี้คาดเงินสะพัดเฉียด 5 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้น 2.3% สูงสุดในรอบ 3 ปี เหตุค่าใช้จ่ายส่วนใหญ่แพงขึ้นหมด ทั้งค่าเล่าเรียน ค่าหนังสือ ชุดนักเรียน น่าตกใจผู้ปกครองส่วนใหญ่มีรายได้ไม่เพียงพอใช้จ่าย ต้องกู้หนี้ยืมสินมาใช้
นายธนวรรธน์ พลวิชัย ผู้อำนวยการศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยถึงผลสำรวจผลกระทบของผู้ปกครองและประเมินการใช้จ่ายในช่วงเปิดเทอม จากกลุ่มตัวอย่าง 1,210 ตัวอย่างทั่วประเทศว่า ช่วงเปิดเทอมปีนี้จะมีเม็ดเงินสะพัด 49,145 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2.3% จากปี 2558 ที่มีเม็ดเงินสะพัดมูลค่า 48,040 ล้านบาท ถือเป็นอัตราการขยายตัวสูงสุดในรอบ 3 ปี นับตั้งแต่ปี 2557 โดยมูลค่าที่เพิ่มขึ้นมาจากค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้น ทั้งค่าเล่าเรียน ค่าบำรุงโรงเรียน ค่าหนังสือ ค่าชุดนักเรียน รองเท้า และอุปกรณ์การเรียน มีค่าใช้จ่ายเฉลี่ย 10,064 บาทต่อคน
ทั้งนี้ ค่าใช้จ่ายในช่วงเปิดเทอม ผู้ปกครอง 48.7 ระบุว่ามีเงินเพียงพอที่จะนำมาใช้จ่ายเพื่อบุตรหลาน โดยใช้รายได้จากเงินเดือน โบนัส เงินเก็บ และรายได้อื่นๆ แต่ 51.3 มีเงินไม่เพียงพอ โดยต้องจำนำทรัพย์สิน กู้เงินในระบบ นอกระบบ ยืมญาติพี่น้อง และเบิกเงินสดจากบัตรเครดิต ซึ่งถือเป็นสัดส่วนที่เพิ่มขึ้นจากปี 2558 ที่ผู้ปกครองมีรายได้เพียงพอมากถึง 63.9% และมีรายได้ไม่เพียงพอแค่ 36.1%
นายธนวรรธน์กล่าวว่า จากการสำรวจในปัจจุบันยังพบว่าผู้ปกครองส่วนใหญ่มีหนี้สินต่อครัวเรือนสูงอยู่ที่ 208,691.02 บาท เพิ่มสูงขึ้น 24.11% เมื่อเทียบกับปีก่อน โดยเป็นหนี้สินมาจากการใช้จ่ายประจำวัน การใช้จ่ายสำหรับบุตรหลาน ค่าผ่อนบ้านและรถยนต์ ค่ารักษาพยาบาล ชำระหนี้เก่า และลงทุน ซึ่งยังมีภาวะตึงตัว ทำให้ประชาชนมีความระมัดระวังในการจับจ่ายใช้สอยอยู่
อย่างไรก็ตาม ผู้ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่ระบุว่ามีการซื้อที่เพิ่มขึ้น ซึ่งเป็นการสะท้อนความมั่นใจในทิศทางการหารายได้หลังจากนี้ว่าจะมีมากขึ้น ซึ่งถือเป็นสัญญาณเศรษฐกิจที่มีทิศทางเชิงกึ่งบวก
“เงินสะพัดช่วงเปิดเทอมปีนี้ 49,145 ล้านบาท จะช่วยกระตุ้นการขยายตัวของจีดีพี 0.1-0.2% ซึ่งค่าใช้จ่ายช่วงเปิดเทอมถือเป็นค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นปกติ และรวมอยู่ในการคำนวณประมาณการทางเศรษฐกิจอยู่แล้ว จึงยังคงคาดการณ์อัตราการขยายตัวของจีดีพีปี 2559 ขยายตัวอยู่ในกรอบ 3-3.5% แต่จากสัญญาณขณะนี้มีแนวโน้มที่จะขยายตัวได้เกิน 3% ซึ่งหอการค้าไทยจะปรับประมาณการตัวเลขจีดีพีอย่างเป็นทางการในวันที่ 12 พ.ค.นี้” นายธนวรรธน์กล่าว