“อนันตพร” เผยผลกระทบน้ำมันดิบตลาดโลกลดต่ำยังไม่ส่งผลให้บริษัทสำรวจและผลิตปิโตรเลียมของคนไทยมีนโยบายปลดลดคนงาน แต่หากเป็นบริษัทต่างชาติขึ้นอยู่กับแนวทางการบริหารของแต่ละราย ย้ำน้ำมันถึงจุดต่ำสุดแล้วน่าจะผ่านพ้นวิกฤตนี้ไปได้ ขณะที่การใช้ไฟพุ่งยังไม่มีแผนปรับมาตรการลดการใช้เหตุอุณหภูมิสูง ประชาชนร่วมมือลดพีกแค่ 1 ชั่วโมงก็พอใจ
พล.อ.อนันตพร กาญจนรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เปิดเผยว่า กรณีราคาน้ำมันตลาดโลกที่ทรงตัวในระดับต่ำขณะนี้นั้นได้รับการแจ้งว่า ในส่วนของบริษัท ผลิตและสำรวจปิโตรเลียมของไทยคงจะไม่มีการปลดพนักงาน แต่จะใช้วิธิลดค่าใช้จ่ายอื่นๆ แทน รวมถึงชะลอการผลิตบางแหล่งชั่วคราว แต่สำหรับบริษัทผลิตและสำรวจของต่างประเทศการบริหารจัดการของแต่ละบริษัทคงจะต้องเป็นเรื่องของแต่ละบริษัทที่จะดำเนินการตามความเหมาะสม อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าภาพรวมการปลดคนงานคงจะมีน้อย
“เป็นเรื่องปกติที่เมื่อราคาน้ำมันตลาดโลกลดต่ำก็ย่อมกระทบให้การผลิตไม่คุ้มทุนบางแหล่ง บริษัทผลิตสำรวจก็คงจะพยายามประคองการดูแลพนักงานเพราะไม่ใช่ว่าจะหาง่ายๆ ถ้าน้ำมันกลับมามีราคาสูงขึ้น ซึ่งเชื่อว่าราคาน้ำมันตลาดโลกถึงจุดต่ำสุดแล้ว จากนี้น่าจะปรับตัวขึ้นมาอยู่ในระดับ 40-50 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล” รมว.พลังงานกล่าว
สำหรับปริมาณปริมาณความต้องการใช้ไฟฟ้าสูงสุด หรือพีก อยู่ที่ระดับ 29,403.7 เมกะวัตต์นั้น เป็นการเพิ่มขึ้นจากพีกสูงสุดของปีที่แล้วเฉลี่ยกว่า 2,000 เมกะวัตต์ แม้ว่าจะอยู่ในอัตราที่เพิ่มขึ้นมากกระทรวงฯยังคงไม่มีนโยบายจะปรับมาตรการลดใช้ไฟแต่อย่างใด เพราะการใช้ไฟที่สูงเนื่องจากอุณหภูมิที่สูงมากการให้ประชาชนร่วมมือประหยัดไฟช่วงพีคได้ก็ถือว่าเป็นเรื่องที่ดีแล้ว ประกอบกับปริมาณไฟฟ้าสำรองมีเพียงพอกับความต้องการจึงไม่มีปัญหาไฟฟ้าดับแน่นอน
“ผมก็ขอขอบคุณภาคประชาชนที่ให้ความร่วมมือลดใช้ไฟฟ้าในช่วงพีกเวลา 14.00-15.00 น. และปรับเปลี่ยนมาใช้อุปกรณ์ประหยัดพลังงานเพราะเข้าใจว่าอากาศมันร้อนจริงๆ ถ้าจะประหยัดไฟจนลำบากก็คงไม่ใช่ และยืนยันว่ามาตรการณรงค์ประหยัด ปิด ปรับ ปลด เปลี่ยน ก็แค่ขอประหยัดสักชั่วโมงในช่วงพีกเท่านั้น” รมว.พลังงานกล่าว
สำหรับการประชุมคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) ปลายเดือน พ.ค.นี้จะมีการนำเสนอผลการสรุปแนวทางการรับซื้อไฟฟ้าจากโครงการผู้ผลิตไฟฟ้าขนาดเล็ก หรือ SPP ระบบโคเจนเนอเรชั่นที่จะป้อนให้แก่นิคมอุตสาหกรรมเป็นหลักที่จะทยอยหมดสัญญาช่วงปี 2560-2567 เพื่อที่จะทำให้โครงการได้มีข้อสรุปเพื่อดำเนินการต่อไปได้หลังจากที่ล่าช้ามาพอสมควรซึ่งได้เร่งให้หารือเพื่อสรุป รวมถึงการบริหารจัดการแหล่งสัมปทานที่จะหมดอายุปี 2565-2566 หากเข้าได้ทันก็จะเร่งนำเข้า กพช. เป็นต้น