“พาณิชย์” เผยพบคนจีนนำเข้าผัก-ผลไม้มาขายเร่ในไทยเพียบ ทั้งที่ตลาดไท ตลาดไอยรา ตลาด 4 มุมเมือง ตลาดศรีเมือง รวมถึงที่ จ.ราชบุรี รับอานิสงส์เอฟทีเอไทย-จีน ไม่ต้องเสียภาษีนำเข้า เตรียมจัดระเบียบให้ทำธุรกิจในไทยแบบถูกกฎหมาย ทั้งต้องจดทะเบียนบริษัท ขอวีซ่า ใบอนุญาตทำงาน และเสียภาษี ส่วนแก้ปัญหาล้ง เล็งชง ครม.พิจารณาแนวทางแก้ไขเดือน พ.ค.นี้
น.ส.วิบูลย์ลักษณ์ ร่วมรักษ์ อธิบดีกรมการค้าภายใน เปิดเผยว่า กรมฯ ได้หารือร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องด้านการนำเข้าสินค้าผัก และผลไม้ ทั้งกรมวิชาการเกษตร องค์การอาหารและยา (อย.) กรมพัฒนาธุรกิจการค้า และกรมศุลกากร เพื่อร่วมกันหาแนวทางแก้ปัญหากรณีมีคนต่างชาติซึ่งส่วนใหญ่เป็นคนจีน และเวียดนาม เข้ามาทำธุรกิจค้าขายผัก และผลไม้ เช่น แอปเปิล สาลี่ องุ่น ผักเมืองหนาวชนิดต่างๆ ในตลาดค้าส่งผัก ผลไม้ในไทย ซึ่งส่งผลกระทบต่อเกษตรกร และผู้ประกอบการของไทยเป็นอย่างมาก แม้ผู้บริโภคได้รับประโยชน์ก็ตาม
ทั้งนี้ ตลาดที่ตรวจสอบพบ เช่น ตลาดไท ตลาดไอยรา ย่านรังสิต ตลาด 4 มุมเมือง และตลาดศรีเมือง จ.ราชบุรี ซึ่งส่วนใหญ่เป็นสินค้านำเข้าจากจีน และเวียดนาม ผ่านด่านเชียงของ จ.เชียงรายมากที่สุด รองลงมา คือ เส้นทาง R3A ผ่าน จ.นครพนม หนองคาย และมุกดาหาร
“จากการหารือกับตลาดไท พบว่า มีสินค้าที่ขายที่ตลาดไท ชาวต่างชาติกว่า 60% ที่นำเข้าผักและผลไม้มาขายที่นี่เป็นชาวจีน และเวียดนาม โดยจะใช้วิธีเช่าพื้นที่จอดรถขายสินค้า ซึ่งตลาดไทคิดค่าเช่าวันละ 1,000 บาท ส่วนการนำเข้าผัก และผลไม้ไปขายที่ตลาดอื่นๆ เช่น ที่ จ.ราชบุรี จะใช้วิธีการขนด้วยรถคอนเทนเนอร์ห้องเย็นขนาดใหญ่วิ่งมาจากจีน หรือเวียดนาม แล้วมาเปลี่ยนเป็นรถไทย จากนั้นจะมีพ่อค้าคนไทยมารับซื้อไปขายตามตลาดต่างๆ หากขายไม่หมดจะเก็บไว้ในห้องเย็นที่อยู่ในบริเวณตลาดไท”
สำหรับการนำเข้าผัก และผลไม้จากจีนจำนวนมากๆ ส่วนหนึ่งเป็นเพราะข้อตกลงการค้าเสรี (เอฟทีเอ) ไทย-จีน ที่กำหนดให้สินค้าเหล่านี้ไม่ต้องเสียภาษีนำเข้าในไทย เพียงแต่เมื่อถึงด่านตรวจก่อนเข้าไทยต้องผ่านการตรวจสอบจาก 3 หน่วยงานหลัก คือ กรมศุลกากร กรมวิชาการเกษตร ที่จะต้องตรวจสอบเรื่องมาตรฐานสุขอนามัย ด้วยการสุ่มตัวอย่าง และ อย. จะตรวจสอบสารตกค้าง และความปลอดภัยอาหาร โดยทั้ง 3 หน่วยงานมีการตรวจเข้มอยู่แล้วที่ด่านต่างๆ
น.ส.วิบูลย์ลักษณ์ กล่าวว่า ตาม พ.ร.บ.การประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว พ.ศ.2542 หากคนต่างชาติจะเข้ามาทำธุรกิจขายเร่ ขายหน้าร้าน และขายทอดตลาด จะต้องขออนุญาตการประกอบธุรกิจให้ถูกต้อง เช่น จดทะเบียนเป็นนิติบุคคล และถือหุ้นได้ไม่เกิน 49% ส่วนอีก 51% ต้องเป็นหุ้นส่วนคนไทย หรือถ้าจะประกอบธุรกิจเป็นรายบุคคล ต้องขอวีซ่าแบบ business visa มีใบอนุญาตการทำงาน (เวิร์ก เพอร์มิต) ด้วย เพราะเท่าที่ทราบ ตอนนี้คนจีนใช้วิธีจ้างคนไทยมาเป็นตัวแทนในการทำเรื่องขออนุญาตนำเข้าสินค้าเข้ามาขายในไทย จึงต้องหาทางจัดการ
อย่างไรก็ตาม กระทรวงพาณิชย์ โดยกรมการค้าภายใน กรมพัฒนาธุรกิจการค้า และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะลงพื้นที่ไปเก็บข้อมูลภายในเดือน พ.ค.นี้ โดยจะมีการตรวจสอบว่าเข้ามาถูกต้องตามกฎหมายหรือไม่ หรือกรณีทำธุรกิจไซโล ห้องเย็น มีการขออนุญาตจากกรมฯ หรือไม่ และขอวีซ่าเข้ามาแบบถูกต้องหรือไม่ และเตรียมกำหนดแนวทางบริหารจัดการเพื่อให้มีการทำธุรกิจอย่างถูกกฎหมาย และเท่าเทียมกันระหว่างผู้ประกอบการไทย และต่างชาติที่จะต้องเสียภาษีการทำธุรกิจ
โดยปัจจุบัน สินค้านำเข้าที่มีมาตรการบริหารจัดการมีเพียงหอมแดง และส้ม เท่านั้น ที่ผู้นำเข้าจะต้องขึ้นทะเบียน และแจงรายละเอียดว่าสินค้านำเข้ามา และส่งไปขายให้ใคร
ส่วนมาตรการบริหารจัดการล้งต่างชาติที่เป็นคนรวบรวม คัดแยก บรรจุ และส่งออกผลไม้ไทยนั้น นายกรัฐมนตรี แสดงความเป็นห่วง และได้มอบหมายให้หาแนวทางบริหารจัดการเพื่อให้เกิดความเป็นธรรม ซึ่งหลังจากที่กรมฯ ได้ลงพื้นที่ไปตรวจสอบข้อมูลต่างๆ แล้ว ล่าสุด อยู่ระหว่างการรวบรวมปัญหา และแนวทางแก้ไขเพื่อเสนอให้คณะรัฐมนตรี (ครม.) พิจารณาภายในเดือน พ.ค.นี้