ปตท.สผ.มีกำไรสุทธิไตรมาส 1/59 อยู่ที่ 157 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือ 5.62 พันล้านบาท ลดลง 41% เมื่อเทียบจากช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากได้รับผลกระทบราคาน้ำมันดิบที่ปรับตัวลดลง ฉุดราคาขายน้ำมันเฉลี่ยอยู่ที่ 35.08 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล ต่ำลง 13.87 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล
นายสมพร ว่องวุฒิพรชัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) หรือ ปตท.สผ. เปิดเผยผลการดำเนินงานไตรมาส 1/2559 ว่า บริษัทฯ มีกำไรสุทธิ 157 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือเทียบเท่า 5,624.81 ล้านบาท ลดลง 41% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 264 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือเทียบเท่า 8,616.31 ล้านบาท เนื่องจากได้รับผลกระทบจากราคาน้ำมันดิบที่ปรับตัวลดลงในช่วงเดือน ม.ค.ที่ผ่านมา
โดยไตรมาส 1/2559 บริษัทฯ มีรายได้รวม 1,093 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือเทียบเท่า 38,989 ล้านบาท ลดลง 360 ล้านเหรียญสหรัฐเมื่อเทียบจากช่วงเดียวกันของปีก่อน ส่วนใหญ่เป็นผลจากราคาขายผลิตภัณฑ์เฉลี่ยที่ปรับตัวลดลงตามราคาน้ำมันดิบโลก โดยราคาขายเฉลี่ยไตรมาสนี้อยู่ที่ 35.08 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล ลดลงจากไตรมาส1/2558 ที่ 48.95 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล ส่วนปริมาณการขายอยู่ที่ 329,858 บาร์เรล/วัน เพิ่มขึ้นจาก 315,851 บาร์เรล/วันในช่วงเดียวกันของปีก่อน
เพื่อรับมือกับสถานการณ์ราคาน้ำมันที่ตกต่ำ บริษัทฯ ได้ดําเนินนโยบายลดต้นทุนและเพิ่มประสิทธิภาพการดําเนินงานอย่างต่อเนื่อง ทำให้ไตรมาสนี้ลดค่าใช้จ่ายลงเหลือ 907 ล้านเหรียญสหรัฐ เมื่อเทียบจากช่วงเดียวกันของปีก่อนอยู่ที่ 1,174 ล้านเหรียญสหรัฐ ส่วนใหญ่ลดลงจากค่าเสื่อมราคา ค่าใช้จ่ายในการดําเนินงาน และค่าใช้จ่ายในการบริหาร
สำหรับแนวโน้มภาพรวมธุรกิจปี 2559 ราคาน้ำมันดิบเป็นปัจจัยสำคัญที่มีผลกระทบต่อผลประกอบการของ ปตท.สผ. มองว่าราคาน้ำมันดิบนับจากนี้จะสูงกว่าไตรมาส 1/2559 เนื่องจากอุปสงค์น้ำมันดิบจากชั้นหินดินดาน (Shale Oil) ในสหรัฐอเมริกาปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่องและความต้องการใช้น้ำมันจะยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่องตามสภาพเศรษฐกิจของโลกที่ขยายตัวขึ้น โดยประเมินความต้องการใช้น้ำมันดิบโลกปี 2559 อาจสูงขึ้นกว่าปี 2558 ประมาณ 1.2 ล้านบาร์เรลต่อวัน