ผู้จัดการรายวัน360 - เวิร์คพ้อยท์ประคองเรตติ้งรวมให้ได้ 1.2 ตลอดปี พลิกเกมปรับคอนเทนต์ทุก 2 เดือน ด้วยเม็ดเงิน 600 กว่าล้านบาท จับละครลงไพรม์ไทม์ ส่งคอนเทนต์กีฬาเพิ่มฐานผู้ชม เชื่อช่วยขยับรายได้โฆษณาได้อีกนิด ดันเป้าปีนี้ทะลุ 2,500 ล้านบาท จากปีก่อนปิดที่ 1,800 ล้านบาท
นายชลากรณ์ ปัญญาโฉม ประธานเจ้าหน้าที่บริหารสายงานดิจิตอลทีวี บริษัท เวิร์คพอยท์ เอ็นเทอร์เทนเมนท์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ภาพรวมธุรกิจทีวีดิจิตอลยังเป็นธุรกิจที่ยังไปได้อยู่ แต่ต้องขึ้นอยู่กับคอนเทนต์เป็นสำคัญ ในสถานการณ์ที่มีจำนวนช่องมากมาย การแข่งขันจึงยากขึ้น ซึ่งยังพบว่ากลุ่มช่องลำดับเรตติ้ง 1-15 ยังพร้อมลงทุนต่อเนื่อง ส่วนหนึ่งมาจากแผนที่วางไว้จากปีก่อน
ในส่วนของช่องเวิร์คพ้อยท์ทีวีปีนี้พร้อมใช้งบลงทุนด้านคอนเทนต์ 600 กว่าล้านบาท มากกกว่าปีก่อนเล็กน้อย โดยปรับเปลี่ยนคอนเทนต์ใหม่ๆ ทุก 2 เดือน หรือมีรายการใหม่ประมาณ 10 รายการเข้ามาแทนที่รายการเดิม กับในช่วงรายการไพรม์ไทม์ที่มีเรตติ้งไม่ถึง 1 และนอนไพรม์ไทม์ที่มีเรตติ้งไม่ถึง 0.5
ทั้งนี้ เพื่อต้องการประคองเรตติ้งรวมของทั้งช่องในปีนี้ให้อยู่ที่ 1.2 จากปีก่อน ภาพรวมเรตติ้งช่องอยู่ที่ 1 และอยู่ในอันดับสาม รองจากช่อง 7 และช่อง 3 ตามลำดับ
เริ่มตั้งแต่ช่วงไตรมาสหนึ่ง เน้นเพิ่มวาไรตี เช่น Let me in Thailand ซึ่งสามารถสร้างเรตติ้งได้สูงถึง 5 ขณะที่รายการที่มีเรตติ้งสูงสุดยังคงเป็น ไมค์ทองคำ สูงถึง 6.5 และอันดับสาม คือ I can see your voice3 เรตติ้งอยู่ที่ 4.3 ส่วนในไตรมาสสอง จะเน้นเพิ่มคอนเทนต์ละครและกีฬา เริ่มจาก 1. ละครจะเป็นเรื่อง พันท้ายนรสิงห์ เริ่มวันจันทร์ที่ 4 เม.ย.นี้ รวม 20 ตอน ซึ่งช่วงละครนี้จะวางไว้ในช่วงไพรม์ไทม์หลังข่าว ตั้งแต่เวลา 20.50-21.50 น.
โดยหลังจากนี้เวลาดังกล่าวจะวางเป็นผังละคร ซึ่งมีแผนที่จะเพิ่มอีก 1 เรื่อง ในเวลาเดียวกันของวันพุธและพฤหัสบดีด้วย เพื่อทำให้ช่วงเวลาดังกล่าวแข็งแกร่งขึ้น จากปกติเวลาดังกล่าวในวันศุกร์-อาทิตย์แข็งแรงอยู่แล้ว ที่สำคัญจะเป็นคอนเทนต์สำคัญในการเพิ่มกลุ่มเป้าหมายใหม่ๆ มากขึ้น
2. กีฬา คือลิขสิทธิ์การถ่ายทอดสดการแข่งขันวอลเลย์บอลหญิงรอบคัดเลือกเข้าสู่โอลิมปิก 2016 จากประเทศญี่ปุ่น ระหว่างวันที่ 14 พ.ค.-5 มิ.ย.นี้ เชื่อว่าจะเป็นคอนเทนต์สำคัญที่ช่วงเวลาดังกล่าวจะทำให้ช่องเวิร์คพ้อยท์ทีวีจะมีเรตติ้งรวมมากกว่า 1.2 ได้ และทำให้ทั้งปีคงไว้ที่ 1.2 ตามแผน
สำหรับไตรมาสสาม จะมีรายการใหม่เพิ่มเข้ามาอีก 1 รายการ คือ รายการประกวดร้องเพลงที่ซื้อลิขสิทธิ์มาจากต่างประเทศ และในไตรมาสสี่จะมี Let me in Thailand ซีซันใหม่เพิ่มเข้ามา เชื่อว่าจะเป็นกลยุทธ์สำคัญที่จะทำให้เกิดกลุ่มเป้าหมายและเรตติ้งเพิ่มได้ พร้อมทำให้สามารถปรับราคาโฆษณาขึ้นได้อีก แต่ทั้งนี้ต้องดูสถานการณ์ทางเศรษฐกิจด้วย จากปัจจุบันเฉลี่ยราคาโฆษณาอยู่ที่ 50,000 บาทต่อนาที หรือมีตั้งแต่ 20,000-200,000 บาทต่อนาที
นายชลากรณ์กล่าวเพิ่มว่า ทั้งนี้จะเห็นว่าคอนเทนต์ละครเป็นคอนเทนต์ที่หลายช่องนำมาใช้มากขึ้น และมีการแข่งขันที่รุนแรง สำหรับละครของช่องเวิร์คพ้อยท์จะมีการนำเสนอแบบหลากหลาย จับฐานผู้ชมทั้งระดับแมสและคนเมือง โดยตามแผนที่มีการจ้างผลิตละครไว้กว่า 10 เรื่อง ปีนี้น่าจะถ่ายทำเสร็จ 5 เรื่อง โดยปีนี้อาจจะได้เห็น 2 เรื่อง ส่วนเรื่องอื่นๆ น่าจะได้ชมในปีหน้า ซึ่งทางช่องเวิร์คพ้อยท์วางละครเป็นคอนเทนต์เพิ่มฐานผู้ชม แต่คอนเทนต์หลักยังคงเป็นวาไรตีและเกมโชว์ ซึ่งปีนี้มองว่าจะทำรายได้รวมสูงถึง 2,500 ล้านบาท จากปีก่อนปิดรายได้ที่ 1,800 ล้านบาท
อย่างไรก็ตาม ในปีนี้บริษัทยังได้บริหารจัดการรายการข่าวเพิ่มขึ้นด้วย เฉลี่ยต่อวันจะมีรายการข่าว 6 ชม. จากปีก่อนอยู่ที่ 5 ชม. โดยการเพิ่มเวลารายการข่าวเช้าอีก 30 นาที รายการข่าวเที่ยงเพิ่ม 15 นาที และข่าวค่ำอีก 15 นาที ซึ่งหลังจากปรับเวลาใหม่แล้วพบว่าเรตติ้งเพิ่มขึ้นเล็กน้อย ซึ่งเป็นการเพิ่มจากการปรับเวลา ไม่ได้เกี่ยวกับกรณีของนายสรยุทธที่หยุดทำหน้าที่พิธีกรในรายการข่าวเช้าของทางช่อง 3 ออกไป ซึ่งในส่วนนี้พบว่าพอนายสรยุทธยุติบทบาทหน้าที่ลง กลุ่มผู้ชมหายไปจากหน้าจอ ไม่ได้ไปดูช่องอื่นแทน ไม่มีใครได้ประโยชน์จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ทำให้ช่วงเวลาข่าวเช้าของช่อง 3 จากเดิมเรตติ้ง 2 กว่า เหลือ 1 กว่า ส่วนช่อง 7 เรตติ้ง 2 กว่า ยังอยู่ระดับเดิม