ผู้จัดการรายวัน 360 - กลุ่มบริษัทซีโอแอลในกลุ่มเซ็นทรัล เผยปี 58 ทำรายได้เติบโต 9.2% ทะลุ 10,827 ล้านบาท เตรียมงบลงทุนกว่า 600 ล้านบาท เดินแผนควบรวมกิจการที่น่าสนใจ พร้อมปรับแพล็ตฟอร์ม Central.co.th เป็น “มาร์เก็ตเพลซ” เพิ่มความหลากหลายของสินค้านอกกลุ่มเซ็นทรัล เน้นนโยบายเพิ่มรายได้ต่างประเทศ ส่ง “ออฟฟิศเมท” บุกเวียดนามไตรมาส 3/59 ตั้งเป้าขยาย 27 สาขาใน 5 ปีพร้อมเปิดตลาดใหม่อีก 4 ประเทศ
นายวรวุฒิ อุ่นใจ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มบริษัทซีโอแอล จำกัด (มหาชน) 1 ใน 8 ธุรกิจของกลุ่มเซ็นทรัล ผู้นำตลาดค้าปลีกของประเทศไทย เปิดเผยว่า ภาพรวมธุรกิจของกลุ่มบริษัทฯ ในปี 2558 ถือเป็นครั้งแรกที่ทำรายได้มากกว่า 1 หมื่นล้านบาท มีรายได้รวมทั้งสิ้น 10,827 ล้านบาท มีอัตราการเติบโตขึ้น 9.2% จาก 9,208 ล้านบาทจากปี 2557 โดยคาดว่าในปี 2559 ธุรกิจของกลุ่มบริษัทฯ จะยังคงเติบโต 10% หรือประมาณ 11,900 ล้านบาท
สำหรับสัดส่วนรายได้แบ่งเป็น “ธุรกิจออฟฟิศเมท” (OfficeMate) ธุรกิจค้าปลีกสินค้าและให้บริการที่เกี่ยวเนื่องกับสำนักงาน สัดส่วน 60% “ธุรกิจบีทูเอส” (B2S) ธุรกิจค้าปลีกสินค้าเกี่ยวกับสาระความรู้ ความบันเทิง และเครื่องเขียน สัดส่วน 35% “ธุรกิจเซ็นทรัล ออนไลน์” (Central.co.th) ธุรกิจค้าปลีกจัดจำหน่ายสินค้าและแฟชั่นผ่านอินเทอร์เน็ต และ “ธุรกิจเซ็นเนอร์จี อินโนเวชั่น” (Cenergy Innovation) บริษัทดิจิตอลเอเจนซีและไอทีดีเวลลอปเมนท์ สัดส่วน 3.5% รวมถึง “ธุรกิจเมพ” (MEB) ร้าน e-Book ครบวงจร สัดส่วน 1.5%
“ผลการดำเนินงานในปี 2558 เป็นผลมาจากการสร้างแบรนด์ ตลอดจนการปรับตัวและกลยุทธ์ในการบริหารและดำเนินธุรกิจของบริษัทในเครือให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น รวมทั้งเพิ่มปริมาณสินค้าและบริการต่างๆ เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าและธุรกิจกลุ่มต่างๆ ได้อย่างครอบคลุมและครบวงจร เพื่อก้าวเป็นผู้นำที่เป็นเลิศในธุรกิจด้านการค้าปลีกและระบบค้าปลีกออนไลน์ที่มีประสิทธิภาพในระดับภูมิภาคอาเซียน”
*** จัดงบฯ ลงทุนร่วม 600 ล้านบาท พร้อมเดินแผนออนไลน์ใหม่ ***
นายวรวุฒิ กล่าวด้วยว่า ในปี 2559 บริษัทฯ เตรียมงบลงทุนประมาณ 500-600 ล้านบาท แบ่งเป็นการปรับปรุงและขยายสาขาธุรกิจ “ออฟฟิศเมท” และ “B2S” หลังจากที่เปิดดำเนินการมาเกือบ 20 ปี ด้วยงบประมาณไม่ต่ำกว่า 350 ล้านบาท ขณะเดียวกันยังมีงบประมาณสำรองอีกจำนวนหนึ่งในการควบรวมกิจการ (M&A) ที่น่าสนใจ หลังจากประสบความสำเร็จจาก “ธุรกิจเมพ” ที่มีผลการดำเนินงานเติบโตเกือบ 5 เท่าในช่วงระยะเวลาเพียง 2 ปี
กลุ่มบริษัทซีโอแอล ยังมีแผนปรับธุรกิจออนไลน์ Central.co.th ให้มีลักษณะเป็นมาร์เก็ตเพลซ (Market Place) โดยจะมีการนำเสนอสินค้านอกเหนือจากสินค้าในกลุ่มเซ็นทรัลให้มีความหลากหลายจากพันธมิตรธุรกิจเพิ่มขึ้น เนื่องจากเห็นโอกาสการเติบโตของธุรกิจชอปปิ้งออนไลน์ที่แม้ปัจจุบันจะมีสัดส่วนเพียง 1-2% ของตลาดรวมธุรกิจค้าปลีก แต่คาดว่าจะเพิ่มเป็น 7-8% ภายใน 5 ปีนับจากนี้ซึ่งจะทำให้กลุ่มเซ็นทรัลมีโอกาสเพิ่มรายได้จากช่องทางออนไลน์เป็นจำนวนเงินหลายหมื่นล้านบาท
*** ส่ง “ออฟฟิศเมท” บุกเวียดนาม ปักธง 27 สาขาใน 5 ปี ***
นายวรวุฒิ กล่าวด้วยว่า ในปี 2559 กลุ่มบริษัทซีโอแอล มีแผนเปิดตลาดต่างประเทศเพื่อเพิ่มรายได้อย่างจริงจังมากขึ้น โดยจะเริ่มขยายธุรกิจ “ออฟฟิศเมท” ไปยังประเทศเวียดนามเป็นลำดับแรก ภายในไตรมาสที่ 3/59 โดยมีเป้าหมายขยายให้ได้อย่างน้อย 2 สาขาภายในปี 2559 ก่อนเพิ่มเป็น 27 สาขาภายใน 5 ปีนับจากนี้ พร้อมเปิดตลาดใหม่ๆ อย่าน้อย 4 ประเทศ โดยเบื้องต้นกำลังพิจารณากลุ่มประเทศอินโดนีเซีย มาเลเซีย กัมพูชา ลาว พม่า รวมถึงประเทศที่มีระบบเศรษฐกิจดี เช่น ฮ่องกง และสิงคโปร์ เป็นต้น
การขยายธุรกิจออฟฟิศเมทในประเทศเวียดนามจะเป็นในลักษณะร่วมลงทุนกับพันธมิตรท้องถิ่นโดยจะยึดรูปแบบการดำเนินธุรกิจจากประเทศไทยเป็นหลัก มีขนาดพื้นที่ประมาณ 1 หมื่นตร.ม. พร้อมนำเสนอสินค้าอุปกรณ์สำนักงานประมาณ 1-1.5 หมื่นรายการ โดยจะเริ่มดำเนินการสาขาแรกที่เมืองโฮจิมินห์ภายในช่วงไตรมาสที่ 3/59 ในลักษณะเช่าพื้นที่ซึ่งมีราคาสูงกว่าประเทศไทยถึง 3 เท่า พร้อมใช้งบประมาณการตบแต่งร้านประมาณ 10-20 ล้านบาท ก่อนจะขยายสาขา 2 ที่เมืองฮานอย จากนั้นในปี 2560 จะมีการประเมินอีกครั้งว่าจะขยายสาขาไปยังเมืองใด โดยคาดว่าน่าจะเป็นเมืองฮาลอง เบย์
“บริษัทฯ ยังมีแผนขยายธุรกิจร้านหนังสือ B2S ในประเทศเวียดนามควบคู่กันไปด้วย เนื่องจากพิจารณาองค์ประกอบต่างๆ แล้วพบว่าเวียดนามเป็นประเทศที่มีอัตราการเติบโตทางจีดีพีสูงต่อเนื่องเฉลี่ย 7% ต่อปี ขณะที่ประชากรมีรายได้สูง ทั้งยังมีการกระจายตัวของภาคธุรกิจไปยังเมืองต่างๆ อย่างรวดเร็ว ขณะเดียวกันยังเป็นประเทศที่ให้ความสำคัญในเรื่องของการศึกษาอย่างมาก ส่งผลให้ธุรกิจร้านหนังสือมีการเติบโตอย่างรวดเร็ว”
นายวรวุฒิ กล่าวอีกว่า บริษัทฯ ยังไม่มีการประเมินและตั้งเป้าหมายรายได้จากการขยายธุรกิจในประเทศเวียดนาม เพราะยังอยู่ในช่วงเริ่มต้นและพัฒนาระบบต่างๆ โดยเฉพาะระบบชอปปิ้งออนไลน์และระบบออฟฟิศซัปพลาย โดยยังมีแผนนำสินค้าเฮ้าส์แบรนด์ของบริษัท และพันธมิตรธุรกิจเข้าไปทำตลาดในประเทศเวียดนามพร้อมๆ กันไปด้วย หลังจากพบว่าอัตราการเติบโตของการชอปปิ้งออนไลน์ของประเทศเวียดนามเป็นไปอย่างรวดเร็วมาก
“ผู้บริโภคชาวเวียดนามส่วนใหญ่เป็นคนรุ่นใหม่อายุประมาณ 30 ปี ทั้งยังมีพื้นฐานความรู้ดีโดยเฉพาะด้านภาษาอังกฤษ จึงคาดว่าหากออฟฟิศเมทสามารถพัฒนาระบบออนไลน์ได้สมบูรณ์มากเท่าใดก็จะมีส่วนช่วยเพิ่มยอดขายได้มากขึ้น โดยเบื้องต้นพบว่าพฤติกรรมการจับจ่ายของลูกค้าชาวเวียดนามยังคงให้ความสำคัญในเรื่องของสินค้าพื้นฐานที่มีราคาไม่สูงมากนัก ขณะที่สินค้าระดับลักซ์ชัวรียังทำตลาดได้ยาก” นายวรวุฒิ กล่าวในที่สุด