xs
xsm
sm
md
lg

“เซ็นทรัล” จัดทัพออนไลน์ ทุ่ม 1 พันล้านพร้อมรุกเออีซี

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online

“วรวุฒิ อุ่นใจ” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มบริษัท ซีโอแอล จำกัด (มหาชน)
“กลุ่มออฟฟิศเมท” เปลี่ยนชื่อใหม่เป็น “ซีโอแอล” หลังควบรวม 5 บริษัทในเครือทำรายได้ร่วม 1 หมื่นล้านบาทในปี 57 เดินหน้าตะลุยธุรกิจออนไลน์ในเครือ “กลุ่มเซ็นทรัล” เต็มรูปแบบ ทุ่มงบลงทุน 1 พันล้านบาททั้งขยายสาขา “ออฟฟิศเมท” และ “บีทูเอส” พร้อมปรับระบบรีเทลเทคโนโลยีและแอปพลิเคชัน หวังเพิ่มรายได้โตขึ้น 19% ผลักดันรายได้ธุรกิจออนไลน์ภายในปี 2563 เพิ่มเป็น 10% ของกลุ่มเซ็นทรัลซึ่งมีประมาณ 3-4 แสนล้านบาทจาก 8 กลุ่มธุรกิจ

นายวรวุฒิ อุ่นใจ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มบริษัท ซีโอแอล จำกัด (มหาชน) ผู้ดำเนินธุรกิจออฟฟิศซัปพลาย, หนังสือ, เอดูเทนเมนต์ และออนไลน์อี-คอมเมิร์ซ ซึ่งเป็น 1 ใน 8 กลุ่มธุรกิจหลักของกลุ่มเซ็นทรัล เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 8 เม.ย.ที่ผ่านมาบริษัทฯ ได้ปรับกลยุทธ์การดำเนินงานทางธุรกิจ โดยเปลี่ยนชื่อนิติบุคคลจาก บริษัท ออฟฟิศเมท จำกัด (มหาชน) เป็น บริษัท ซีโอแอล จำกัด (มหาชน) ซึ่งย่อมาจาก “เซ็นทรัลออนไลน์” เพื่อให้เกิดภาพความชัดเจนในการดำเนินธุรกิจ รวมถึงความคล่องตัวในการดำเนินงาน และการประสานงานระหว่างคู่ค้าทางธุรกิจตามแผนขยายการลงทุนด้านธุรกิจออนไลน์

ปัจจุบันบริษัทฯ มีกลุ่มธุรกิจในเครือ 5 บริษัท ประกอบด้วย 1. บริษัท ออฟฟิศเมท จำกัด ผู้นำด้านเครื่องเขียน อุปกรณ์สำนักงาน เฟอร์นิเจอร์สำนักงาน และไอที 2. บริษัท บีทูเอส จำกัด ผู้นำด้านเครื่องเขียน หนังสือ สื่อสร้างสรรค์ และบันเทิง 3. บริษัท เมพ คอร์ปอเรชั่น จำกัด ธุรกิจย่อยในเครือบีทูเอส ดำเนินงานด้านการจัดทำดิจิตอลแอปพลิเคชันและอีบุ๊กส์ของ “บีทูเอส” ภายใต้ชื่อ “เดอะวันบุ๊คส์”

4. บริษัท เซ็นทรัลออนไลน์ จำกัด ดำเนินธุรกิจค้าปลีกออนไลน์ที่มีสินค้า 5-8 หมื่นรายการครอบคลุมเกือบทุกประเภท ทั้งสินค้าแฟชั่น เครื่องสำอาง เสื้อผ้า เครื่องใช้ไฟฟ้า สินค้าแม่และเด็ก และอื่นๆ 5. บริษัท เซ็นเนอร์จี อินโนเวชั่น จำกัด ธุรกิจน้องใหม่ที่เพิ่งเปิดตัวเมื่อวันที่ 25 มี.ค.ที่ผ่านมา เพื่อดำเนินธุรกิจด้านดิจิตอลเอเยนซีและไอทีดีเวลลอปเมนต์ ให้บริการด้านการวางแผนกลยุทธ์การตลาดดิจิตอล พร้อมทั้งให้บริการพัฒนาระบบทางด้านไอทีและรีเทลเทคโนโลยีแบบครบวงจร

*** หวังรายได้ปี 58 เพิ่มขึ้น 19% จาก 9,928 ล้านบาท ***
“ภายหลังจากการควบรวมธุรกิจของบริษัทกับกลุ่มเซ็นทรัลได้ 3 ปี ส่งผลให้ภาพรวมของการดำเนินธุรกิจของบริษัทฯ ในปี 2557 มีรายได้รวมทั้งสิ้น 9,928 ล้านบาท เติบโตขึ้น 8.9% และมีกำไรสุทธิ 439 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 7.5% จากปีก่อน อันเป็นผลมาจากแต่ละภาคส่วนของบริษัทในเครือได้ปรับตัวและปรับกลยุทธ์ในการดำเนินธุรกิจให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น” นายวรวุฒิกล่าว

ปัจจุบันบริษัทฯ ยังคงมีรายได้หลักจากกลุ่มธุรกิจออฟฟิศเมท ประมาณ 60% มีผลการดำเนินงานเติบโตขึ้น 12.2% สูงสุดในกลุ่มบริษัท ซีโอแอลฯ รองลงมาคือกลุ่มธุรกิจบีทูเอส ประมาณ 40% เติบโตขึ้น 2.5% ขณะที่กลุ่มธุรกิจออนไลน์และอื่นๆ ยังคงมีสัดส่วนเพียง 1-2% แต่หลังจากปรับกลยุทธ์ธุรกิจและแผนการดำเนินงานใหม่ทำให้คาดว่าในปี 2558 จะสามารถทำรายได้เติบโตขึ้น 19% พร้อมปรับสัดส่วนรายได้ของกลุ่มธุรกิจออนไลน์และอื่นๆ เพิ่มขึ้นเป็น 10% รองจากกลุ่มธุรกิจบีทูเอสที่จะยังคงสัดส่วน 40% แต่เติบโตขึ้นไม่น้อยกว่า 7% และกลุ่มธุรกิจออฟฟิศเมทประมาณ 50% เติบโตขึ้น 15%

*** เดินหน้าขยายสาขา “ออฟฟิศเมท-บีทูเอส” พร้อมรุกออนไลน์ ***
นายวรวุฒิกล่าวอีกว่า ในปี 2558 บริษัทฯ พร้อมใช้งบประมาณลงทุนรวมกว่า 1 พันล้านบาท แบ่งเป็น 500 ล้านบาทสำหรับการขยายสาขาร้านออฟฟิศเมทเพิ่มอีก 8 แห่ง รวมเป็น 59 แห่งในปี 2558 พร้อมกันนั้นยังจะปรับปรุงสาขาร้านบีทูเอส 9 แห่งจากเดิมที่มี 90 แห่ง และขยายเพิ่มอีก 8 แห่งครอบคลุมทั้งประเทศ ทำให้สิ้นปี 2558 จะมีจำนวนสาขาทั้งสิ้นรวม 98 แห่ง

ส่วนงบประมาณอีก 500 ล้านบาทจะเป็นการลงทุนทางด้านไอทีและรีเทลเทคโนโลยี รวมถึงแอปพลิเคชันต่างๆ เพื่อรองรับธุรกิจออนไลน์ จากปัจจุบันที่เว็บไซต์ www.central.co.th มีแนวโน้มการเติบโตอย่างชัดเจนจากอัตราการซื้อซ้ำของลูกค้าที่สูงถึง 60-70% จากการซื้อสินค้าชิ้นแรกในระดับราคาประมาณ 2 พันบาท เพิ่มเป็น 3.4-4 พันบาทในชิ้นต่อๆ ไป ทำให้บริษัทฯ มีแผนเพิ่มจำนวนสินค้าเป็น 1.2-1.5 หมื่นรายการในปี 2558 แบ่งเป็นสินค้าแบรนด์เนมนำเข้าจากต่างประเทศ 60% และสินค้าในประเทศ 40% โดยคาดว่าจะมีผู้เข้าเยี่ยมชมเว็บไซต์สูงถึง 33 ล้านคน

“จากข้อมูลของสำนักงานสถิติแห่งชาติระบุว่า ธุรกิจออนไลน์ในประเทศไทยมีมูลค่ารวมกว่า 7 แสนล้านบาท เติบโตเฉลี่ย 30% ต่อปี ขณะที่มูลค่าค้าปลีกออนไลน์ทั่วโลกมีสัดส่วนประมาณ 5.6% ของมูลค่าค้าปลีกทั้งระบบ แต่ของประเทศไทยยังคงมีสัดส่วนเพียง 0.5% จึงทำให้บริษัทฯ คาดว่าในปี 2558 บริษัทฯ จะสามารถทำยอดขายสินค้าออนไลน์ได้ประมาณ 800-900 ล้านบาท โดยมีเป้าหมายระยะยาวว่าภายในปี 2563 หรือ 5 ปีข้างหน้าบริษัทฯ จะมีรายได้จากการจำหน่ายสินค้าออนไลน์เป็นสัดส่วน 50% หรือประมาณ 10% ของกลุ่มเซ็นทรัล ซึ่งมีประมาณ 3-4 แสนล้านบาทจาก 8 กลุ่มธุรกิจ”

นายวรวุฒิกล่าวด้วยว่า ธุรกิจค้าปลีกในยุคปัจจุบันจำเป็นต้องมีการปรับตัวเพื่อความอยู่รอดด้วยการดำเนินงานควบคู่กันทั้งในลักษณะออนไลน์และออฟไลน์ ดังจะเห็นได้จากผู้นำธุรกิจค้าปลีกออนไลน์คือ www.amazon.com ยังจำเป็นต้องขยายธุรกิจด้วยการเปิดร้านในทำเลต่างๆ ขณะเดียวกัน ธุรกิจค้าปลีกในสหรัฐอเมริกาที่เคยดำเนินงานมากว่า 200 ราย แต่ไม่สามารถปรับตัวเข้าสู่ระบบออนไลน์ได้ก็ต้องปิดตัวลงจนเหลือเพียงประมาณ 50 รายภายในเวลาเพียงไม่กี่ปี

*** ขยายเพิ่ม 2 ธุรกิจ พร้อมรุกตลาดเออีซี ***
บริษัทฯ ยังมีแผนขยายธุรกิจเพิ่มอีก 2 ส่วนภายในสิ้นปี 2558 คือธุรกิจลอจิสติกส์หลังจากที่มีการย้ายคลังสินค้าออนไลน์แห่งใหม่ที่มีขนาดใหญ่ขึ้นบนถนนบางนา-ตราด สามารถรองรับสินค้าได้มากกว่า 2.5 แสนรายการเมื่อปี 2557 นอกจากนั้นยังจะขยายธุรกิจ Market Place Website เพื่อรองรับธุรกิจออนไลน์ให้สมบูรณ์แบบและครบวงจรยิ่งขึ้น

สำหรับกลยุทธ์หลักในการดำเนินงานแผนขยายธุรกิจออนไลน์จะเน้น 3 ส่วน คือ 1. การควบรวมธุรกิจกับคู่ค้าพันธมิตรในสัดส่วน 25-75% 2. การขยายธุรกิจให้เป็นเว็บไซต์ระดับภูมิภาคอาเซียน โดยจะเริ่มเห็นผลเป็นรูปธรรมตั้งแต่ต้นปี 2559 ที่ประเทศเวียดนาม ตามด้วยอินโดนีเซีย และมาเลเซีย ก่อนที่จะครอบคลุมทุกประเทศในอนาคตอันใกล้ 3. การมีส่วนร่วมในการพัฒนาธุรกิจ SMEs ในการเพิ่มช่องทางจำหน่ายผ่านทางเว็บไซต์ออนไลน์ของบริษัทในเครือ

“เซ็นทรัลออนไลน์ มีจุดแข็งและแตกต่างจากรายอื่นๆ คือความแข็งแกร่งของแบรนด์เซ็นทรัลที่มีมาตรฐานทั้งในเรื่องคุณภาพสินค้า รวมถึงระบบชำระเงินและบริการ ขณะเดียวกัน การดำเนินงานร่วมกับคู่ค้าและพันธมิตรธุรกิจในลักษณะ Venture Capital ของบริษัทฯ ยังเป็นการให้การสนับสนุนระหว่างกัน โดยบริษัทฯ มีการดำเนินงานใน 3 สถานะ คือ ผู้จำหน่าย ผู้ซื้อ และผู้จัดจำหน่าย ทั้งยังมีนโยบายที่จะช่วยผลักดันให้ธุรกิจของพันธมิตรเข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์ฯ ด้วย โดยล่าสุดมีการเจรจากับพันธมิตรธุรกิจแล้วประมาณ 6-7 รายที่จะมีการควบรวมกิจการในอนาคตอันใกล้” นายวรวุฒิกล่าวในที่สุด










กำลังโหลดความคิดเห็น