ผู้จัดการรายวัน 360 - เศรษฐกิจพ่นพิษตลาดเครื่องดื่มบำรุงกำลังในประเทศซบเซาต่อเนื่อง “กระทิงแดง” เน้นตลาดส่งออก 70% ชูตลาดอาเซียนเป็นหลัก มั่นใจปี 59 ยอดส่งออกโต 25% พร้อมทำยอดขายในประเทศเพิ่มขึ้น 10% เผยช่วง 5 ปีลงทุนต่อเนื่องด้านเครื่องจักรเพื่อขยายกำลังการผลิตร่วม 3 พันล้านบาท พร้อมเน้นกิจกรรม CSR ปีละ 50 ล้านบาท ตอบรับนโยบายเติบโตอย่างยั่งยืน
นายสราวุฒิ อยู่วิทยา ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มธุรกิจกระทิงแดง เปิดเผยว่า ตลาดรวมเครื่องดื่มบำรุงกำลัง (Energy Drink) ในปี 2559 คาดว่าจะยังคงอยู่ในภาวะทรงตัวต่อเนื่องเป็นปีที่ 3 เนื่องจากได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจโดยมีอัตราการเติบโตเพียงหลักเดียวเช่นเดิม แต่ในส่วนของ “กระทิงแดง” มั่นใจว่าจะเติบโตไม่น้อยกว่า 10% ส่วนตลาดต่างประเทศตั้งเป้าว่าจะเติบโตไม่ต่ำกว่า 25% ตามแผนสร้างรายได้รวม 4 หมื่นล้านบาทในปี 2560
จากภาวะเศรษฐกิจในประเทศไทยและโลกที่ยังคงมีแนวโน้มว่าจะชะลอตัวอย่างต่อเนื่องทำให้ธุรกิจหลายประเภทจำเป็นต้องมีการปรับตัวเพื่อความอยู่รอดโดยเน้นการส่งออกมากขึ้น เช่นเดียวกับบริษัทฯ ที่ปัจจุบันยังคงให้ความสำคัญในการส่งออกด้วยสัดส่วน 70% โดยจะเน้นผลิตภัณฑ์หลักคือเครื่องดื่มบำรุงกำลังภายใต้แบรนด์ “กระทิงแดง” ในกลุ่มประเทศอาเซียนมากขึ้น
“ปัจจุบันกลุ่มธุรกิจกระทิงแดงต้องมีการปรับตัวทั้งในส่วนของแผนการตลาดและผลิตภัณฑ์เพื่อให้สอดรับกับไลฟ์สไตล์ผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว โดยยังคงให้ความสำคัญในเรื่องการสร้างแบรนด์และเน้นภาพลักษณ์ที่ชัดเจนของเครื่องดื่มบำรุงกำลังที่เชื่อถือได้ในเรื่องคุณภาพ โดยในปี 2559 ยังคงมีการลงทุนด้านเครื่องจักรและขยายกำลังการผลิตประมาณ 500 ล้านบาท ต่อเนื่องเป็นปีที่ 6 รวมมูลค่าประมาณ 3 พันล้านบาท โดยมีโรงงานตั้งอยู่บริเวณ ต.บ้านแตน อ.บ้านสร้าง จ.ปราจีนบุรี รวมพื้นที่ประมาณ 1 พันไร่ มีกำลังการผลิตประมาณ 1.2 หมื่นล้านขวดต่อปี”
กลุ่มธุรกิจกระทิงแดงเป็นผู้ผลิตและจำหน่ายเครื่องดื่มและอาหาร เป็นจำนวนมากกว่า 100 เอสเคยู ภายใต้แบรนด์ “กระทิงแดง”, “สปอนเซอร์”, “แมนซั่ม”, “เพียวริคุ”, “เรดดี้ มิกซ์”, เรดดี้ ซ่าส์”, ขนมข้าวหอมมะลิอบกรอบ “ป๊อปไรซ์” และเมล็ดทานตะวัน เคลือบธัญพืช “ซันสแนค ดั๊งค์”
นายสราวุฒิกล่าวด้วยว่า กลุ่มธุรกิจกระทิงแดงยังคงให้ความสำคัญในเรื่องของความรับผิดชอบต่อสังคมแล7ะสิ่งแวดล้อม หรือ CSR มาอย่างต่อเนื่องเพื่อให้ธุรกิจมีการเติบโตในภาพรวมอย่างยั่งยืน โดยในช่วง 5 ปีที่ผ่านมามีการใช้งบประมาณรวม 250 ล้านบาท เฉลี่ยปีละประมาณ 50 ล้านบาท ล่าสุดคาดว่าจะใช้ไม่ต่ำกว่า 50 ล้านบาทในปี 2559 เพื่อขับเคลื่อนโครงการ “เกษตรอินทรีย์ วิถียั่งยืน บ้านบางแตน” ซึ่งดำเนินงานต่อเนื่องเป็นปีที่ 2 หลังจากได้เริ่มดำเนินงานในพื้นที่ จ.ยโสธร เมื่อปี 2558
โครงการฯ นี้ได้รับความร่วมมือจากเกษตรกรในเขตพื้นที่ ต.บ้านแตน อ.บ้านสร้าง จ.ปราจีนบุรี จำนวน 33 ครัวเรือน เข้าร่วมโครงการทดลองปลูกข้าวเกษตรอินทรีย์ ภายใต้มาตรฐานการรับรองแบบมีส่วนร่วม หรือ Participatory Guarantee System (PGS) บนพื้นที่ 203 ไร่ ในฤดูกาล 2558/2559 ซึ่งสามารถทำผลผลิตได้ 77.48 ตัน โดยกลุ่มธุรกิจกระทิงแดงให้การสนับสนุนเงินแก่เกษตรกรในโครงการ 1 บาทต่อข้าวเปลือก 1 กก. และ 0.50 บาทต่อข้าวสาร 1 กก. เป็นเวลาต่อเนื่อง 5 ปี
“โครงการฯ นี้ถือเป็นการทำกิจกรรม CSR ที่สอดคล้องกับแผนการตลาดด้านความมั่นคงทางอาหารและ Food Safety ซึ่งกำลังเป็นเทรนด์ธุรกิจทั่วโลกที่กำลังให้ความสำคัญ โดยมีเป้าหมายให้เกษตรกรปรับเปลี่ยนมาปลูกข้าวเกษตรอินทรีย์เต็มรูปแบบ 100% บนพื้นที่เกษตรกรรมทั้งหมด 1.7 พันไร่ภายใน 3 ปี ซึ่งจะทำให้เกษตรกรมีรายได้สูงขึ้นจากราคาข้าวเปลือกในปริมาณ 500 กก.ต่อไร่” นายสราวุฒิกล่าวในที่สุด