นายกรัฐมนตรี เปิดประชุม “รัฐมนตรีกรอบความร่วมมือเอเชีย ครั้งที่ 14” เผย เอซีดีต้อนรับเนปาลเข้าเป็นประเทศสมาชิก พร้อมเสนอกลยุทธ์วิสัยทัศน์ที่ชัดเจน พัฒนาความเชื่อมโยงในเอเชียควบคู่ไปกับการจัดทำวิสัยทัศน์ และมุ่งสู่การพัฒนาภูมิภาคอย่างครอบคลุมและยั่งยืน ยกเศรษฐกิจพอเพียงปรับใช้ในด้านการดูแลและให้บริการสุขภาพ แนะให้ความสำคัญไปที่ 6 สาขาความร่วมมือ และส่งเสริมบทบาทภาคธุรกิจโดยเฉพาะเอสเอ็มอี
วันนี้ (10 มี.ค.) ที่โรงแรมสยาม เคมปินสกี้ กรุงเทพฯ ถนนพระราม 1 เมื่อเวลา 09.30 น. พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานและกล่าวเปิดการประชุม “รัฐมนตรีกรอบความร่วมมือเอเชีย ครั้งที่ 14” (Asia Cooperation Dialogue (ACD) Ministerial Meeting) โดย พล.ต.วีรชน สุคนธปฏิภาค รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี สรุปสาระสำคัญ คือ นายกรัฐมนตรีกล่าวในนามของรัฐบาลไทย และประเทศผู้ก่อตั้งเอซีดีขอบคุณหัวหน้าคณะและผู้แทนประเทศสมาชิกเอซีดีทุกประเทศที่ไว้วางใจไทยในการเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมในครั้งนี้ และรู้สึกยินดีที่ทุกประเทศสมาชิกให้ความสำคัญ โดยการส่งผู้แทนระดับสูงเข้าร่วมการประชุม หวังเป็นอย่างยิ่งว่าทุกประเทศสมาชิกจะร่วมกันหารือเพื่อนำไปสู่ความร่วมมือระหว่างประเทศสมาชิกอย่างเป็นเอกภาพเพื่อผลประโยชน์ร่วมของภูมิภาคเอเชีย
ทั้งนี้ เอซีดียึดหลักการว่า ควรเป็นเวทีที่รัฐมนตรี หรือผู้นำของทุกประเทศสมาชิก สามารถหารือและแลกเปลี่ยนข้อคิดเห็นกันในบรรยากาศที่เป็นมิตรและสร้างสรรค์ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นระหว่างกัน นายกรัฐมนตรียินดีที่ได้เห็นเอซีดีเติบโตขึ้น และขยายสมาชิกภาพ โดยการต้อนรับเนปาลเข้าเป็นประเทศสมาชิกลำดับที่ 34 โดยเชื่อมั่นว่าศักยภาพและประสบการณ์ของเนปาลในภูมิภาคจะมีส่วนช่วยเติมเต็มให้เอซีดีเติบโตอย่างแข็งแกร่ง และเป็นกรอบการหารือที่มีความหลากหลายครอบคลุมทั่วทั้งทวีปเอเชียอย่างแท้จริง
นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ประเทศสมาชิกเอซีดี และกลุ่มประชาคมอื่น ควรอยู่บนหลักการ 3 ประการ คือ ความไว้เนื้อเชื่อใจ การลดความหวาดระแวง และการมีประโยชน์ที่เท่าเทียมกัน ซึ่งภายใต้ภายใต้บริบทของการเติบโตและความท้าทายต่าง ๆ ของเอเชีย และด้วยศักยภาพของเอซีดีในการเป็นเวทีหารือนโยบายในระดับภูมิภาคเพื่อเสริมสร้างความมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืนของเอเชีย การประชุมในวันนี้ จึงมีความสำคัญในการร่วมกันกำหนดวิสัยทัศน์และทิศทางการขับเคลื่อนความร่วมมือในอนาคตของเอซีดีที่ชัดเจนและเป็นรูปธรรมยิ่งขึ้น และเป็นโอกาสให้ประเทศสมาชิกร่วมกันหาทางแก้ไขปัญหาและความท้าทายหลักที่เอเชียต้องเผชิญ โดยคำนึงถึงปณิธานร่วมกันของประเทศสมาชิก
นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า หัวข้อการประชุมครั้งนี้ “ACD - The Way Forward” เป็นความประสงค์ของไทย ในฐานะประธานและผู้ประสานงานเห็นว่าถึงเวลาที่เหมาะสมที่จะเสนอให้ทุกประเทศสมาชิกร่วมกันทบทวนความท้าทาย และปัญหาในช่วงปีที่ผ่านมาที่มีผลต่อการเพิ่มพลวัตให้กับเอซีดี และกำหนดแนวทางความร่วมมือในเอซีดีอย่างชัดเจนเพื่อทำให้กรอบการหารือกลับมามีบทบาทที่มีนัยสำคัญในเวทีโลก ซึ่งนายกรัฐมนตรีได้กล่าวเสนอกลยุทธ์เพื่อก้าวไปข้างหน้าอย่างมีเป้าหมาย และเพื่อเร่งปรับปรุงกลไกการทำงานภายในเอซีดีให้มีรากฐานที่แข็งแกร่งและทันสมัยมากกว่าเดิม
ประการแรก การมีวิสัยทัศน์ที่ชัดเจน โดยนายกรัฐมนตรีเห็นว่าขณะนี้เป็นเวลาที่เหมาะสมที่ทุกประเทศจะร่วมกันกำหนดเป้าหมายและแนวนโยบายในการขับเคลื่อนเอเชียอย่างเป็นรูปธรรม ซึ่งนายกรัฐมนตรีเชื่อมั่นว่า ทุกประเทศต่างต้องการเห็นเอเชียเป็นประชาคมที่มีการพัฒนาทางเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรมอย่างมั่นคง และยั่งยืน ต้องการลดปัญหาความยากจนและความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจ เพื่อให้ประชาชนมีความเป็นอยู่ที่ดี มีศักยภาพและขีดความสามารถในการแข่งขันและพึ่งพาตนเองท่ามกลางความท้าทายต่าง ๆ และสามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างสันติ แสวงหาความเหมือนในความแตกต่าง โดยการเอาประชาชนเป็นศูนย์กลางแบบประชารัฐ กำหนดโรดแมป ในการทำงานในอนาคต สนับสนุนความร่วมมือระหว่างแบบไตรภาคีซึ่งจะทำให้ความร่วมมือเดินหน้าและแก้ปัญหาได้อย่างรวดเร็ว
ประการที่สอง การพัฒนาความเชื่อมโยงในเอเชียควบคู่ไปกับการจัดทำวิสัยทัศน์ของกรอบ ไทยในฐานะที่ตั้งอยู่ตรงศูนย์กลางทางภูมิศาสตร์ของอาเซียน เล็งเห็นถึงศักยภาพในการผลักดันความเชื่อมโยงในอนุภูมิภาคและภูมิภาคในทุกมิติ ทั้งการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทั้งทางบก ทางน้ำ ทางอากาศ และการปรับปรุงกฎระเบียบต่าง ๆ ให้ทันสมัยและสอดคล้องกันระหว่างประเทศสมาชิก ซึ่งจะช่วยอำนวยความสะดวกในการเดินทางของประชาชนและการขนส่งสินค้าในภูมิภาคเอซีดี ซึ่งจะทำให้ความเชื่อมโยงเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
นอกจากนี้ เอซีดีมีประชากรรวมกันกว่า 4.3 พันล้านคน มีจีดีพีรวมกันกว่า 26 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ มูลค่าการค้าทั้งหมดของภูมิภาคคิดเป็น 12 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และมูลค่าการค้าเฉพาะภายในภูมิภาคเอซีดีมีประมาณ 6 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งตัวเลขเหล่านี้บ่งชี้ว่า เมื่อรวมตัวกันจะกลายเป็นศูนย์รวมแรงงาน วัตถุดิบ และฐานการผลิตที่สำคัญมากสำหรับการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของเอเชียและโลก ดังนั้น ทุกประเทศควรร่วมกันผลักดันให้เกิดความเป็นเอกภาพทางเศรษฐกิจของเอซีดีโดยเร็ว เพื่อลดความเหลื่อมล้ำและกระจายความเจริญทางเศรษฐกิจให้ครอบคลุมทั้งทวีป
ประการที่สาม นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า วิสัยทัศน์ของเอซีดีควรมุ่งสู่การพัฒนาภูมิภาคอย่างครอบคลุมและยั่งยืน และสอดคล้องกับวาระการพัฒนาที่ยั่งยืน ค.ศ. 2030 โดยการกำหนดลำดับความสำคัญ โดยร่วมกันส่งเสริมให้มีการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ทางวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม ซึ่งไทยพร้อมแบ่งปันประสบการณ์ ซึ่งได้น้อมนำหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงมาเป็นแนวทางในการพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืน โดยการนำไปปฏิบัติในทุกระดับและภาคส่วน และตั้งอยู่บนหลักสำคัญ คือ ความพอประมาณ มีเหตุผล และมีภูมิคุ้มกัน เช่น การน้อมนำปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงมาปรับใช้ในด้านการดูแลและให้บริการทางด้านสุขภาพ ตั้งแต่การรักษาสุขภาพด้วยภูมิปัญญาชาวบ้าน การแพทย์แผนไทย การแพทย์แบบองค์รวม และการแพทย์แผนปัจจุบันที่ทันสมัย ซึ่งไทยสามารถดูแลสุขภาพประชากรของเราได้อย่างทั่วถึงในราคาที่ประชาชนสามารถจ่ายได้
นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ในประการสุดท้าย เอซีดีควรเร่งรัดปรับปรุงกลไกการทำงานภายในให้มีประสิทธิภาพ โดยพิจารณาลำดับความสำคัญของสาขาความร่วมมือที่มีมากถึง 20 สาขา ให้มีความชัดเจนขึ้นให้เกิดความร่วมมือในเอซีดีที่แข็งขันและสร้างผลลัพธ์ที่เป็นรูปธรรมให้กับภูมิภาค โดยเสนอให้เอซีดีให้ความสำคัญไปที่ 6 สาขาความร่วมมือ ได้แก่ 1. ความเชื่อมโยง 2. วิทยาศาสตร์เทคโนโลยีและนวัตกรรม 3. การศึกษาและการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ 4. ความเชื่อมโยงระหว่างความมั่นคงทางอาหาร พลังงานและน้ำ 5. การท่องเที่ยวและวัฒนธรรม และ 6. วิถีทางเลือกสู่การพัฒนาอย่างทั่วถึงและยั่งยืน
นายกรัฐมนตรี ยังย้ำว่า บทบาทภาครัฐควบคู่ไปกับภาคเอกชน คือ หัวใจสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและการพัฒนาในมิติต่าง ๆ ของเอเชีย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง MSMEs ซึ่งประเทศไทย เอสเอ็มอีมีกว่าร้อยละ 99 ในระบบห่วงโซ่อุปทานและห่วงโซ่มูลค่า มีสัดส่วนการจ้างงานโดยรวมสูงเกือบถึงร้อยละ 78 ของการจ้างงานรวม และยังเป็นแหล่งสร้างนวัตกรรมที่สำคัญ รัฐบาลจึงผลักดันให้การส่งเสริมเอสเอ็มอีเป็นวาระแห่งชาติ โดยนายกรัฐมนตรีเล็งเห็นว่าควรมีกลไกที่ส่งเสริมบทบาทและส่วนร่วมของภาคธุรกิจในเอซีดีอย่างจริงจัง
นอกจากนี้ ไทยสนับสนุนการขยายความร่วมมือในภาคการศึกษาระหว่างประเทศสมาชิกเอซีดี และส่งเสริมการจัดตั้งกลไกการแลกเปลี่ยนบุคลากรทางการศึกษา เพื่อให้เกิดการถ่ายทอดองค์ความรู้และนวัตกรรมใหม่ ๆ ในเอเชีย อันจะนำมาซึ่งการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ของเอซีดีอย่างทั่วถึง โดยนายกรัฐมนตรียังได้ใช้โอกาสนี้กล่าวขอบคุณทุกประเทศสมาชิกที่ให้ความร่วมมือและการสนับสนุน รวมถึงมีการแลกเปลี่ยนกับไทยในด้านการวิจัยและพัฒนา
ในตอนท้าย นายกรัฐมนตรีกล่าวมั่นใจว่า การประชุมรัฐมนตรีเอซีดีครั้งที่ 14 ในวันนี้จะเป็นการเปิดศักราชใหม่ให้กับความร่วมมือในเอเชีย และวางแนวทางที่เป็นรูปธรรมและสร้างสรรค์ไปสู่การประชุมสุดยอดเอซีดีครั้งที่ 2 ซึ่งนายกรัฐมนตรีหวังว่าจะมีโอกาสได้ต้อนรับ และหารือกับผู้นำประเทศสมาชิกเอซีดีเพื่อสานต่อมติของที่ประชุมครั้งนี้ เพื่อการสร้างเสริมเอเชียของเราให้แข็งแกร่ง มีความมั่งคั่ง มั่นคง อย่างยั่งยืนอันจะนำมาซึ่งประโยชน์สูงสุดต่อประชาชนของเราทุกคน