xs
xsm
sm
md
lg

“บิ๊กตู่” วางยุทธศาสตร์ 20 ปีขับเคลื่อนประเทศ เอกชนห่วง ศก.จีนแนะหันเจาะตลาด AEC

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online


นายกฯ เร่งเดินหน้าขับเคลื่อนประเทศ โดยเร่งแก้ไขกฎหมายให้ทันสมัยและเกิดการบูรณาการให้เกิดความเป็นธรรมมากที่สุด รวมทั้งวางฐานรากในประเทศให้เข้มแข็งภายใต้แผนยุทธศาสตร์การพัฒนาฯ 20 ปี ด้านเอกชนเชื่อมั่นเศรษฐกิจไทยปีนี้ดีขึ้น แต่กังวลเศรษฐกิจจีน แนะหันมาบุกตลาดอาเซียนและลงทุนด้านนวัตกรรมหนีคู่แข่ง

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) แสดงปาฐกถาพิเศษเรื่อง “การขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย ปี 2559” ในงานสัมมนา “F.T.I. OUTLOOK 2016 : ทิศทางอุตสาหกรรมไทย ในปี 2559” ซึ่งจัดโดยสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย โดยมีนักธุรกิจภาคเอกชนเข้าร่วมวานนี้ (25 ม.ค.) ว่า สิ่งสำคัญที่จะต้องเร่งดำเนินการเพื่อขับเคลื่อนประเทศไทย คือการแก้ไขกฎหมายให้ทันสมัยและเกิดการบูรณาการเพื่อให้เกิดความเป็นธรรมมากที่สุด ไม่ใช่ทุกคนอยากแต่จะให้ใช้แต่มาตรา 44 รวมทั้งตนจะพยายามวางรากฐานภายในประเทศให้เข้มแข็งภายในช่วงเวลา 1 ปี 5 เดือนที่ยังดำรงตำแหน่งอยู่ โดยกำหนดยุทธศาสตร์การพัฒนาประเทศ 20 ปีข้างหน้า ที่จะมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่องตามแผนปฏิบัติทุก 5 ปี รวมทั้งแก้ไขการบริหารราชการแผ่นดิน สร้างการรับรู้และอำนวยความสะดวก ซึ่งการขับเคลื่อนประเทศต้องอาศัยความร่วมมือของทุกฝ่าย

นอกจากนี้จะมีการปรับปรุง พ.ร.บ.การจัดทำงบประมาณเพื่อการปรับการจัดทำงบประมาณแบบใหม่ โดยต่อไปการจัดทำงบจะต้องให้รัฐบาลประชุมร่วมกันก่อนเพื่อจัดลำดับความสำคัญของเรื่องต้องดำเนินการ ไม่ใช่แบบปัจจุบันที่แต่ละกระทรวงรวบรวมมา พอเข้าสู่การพิจารณาของสภาฯ ก็ตัดงบไป 5-10% จากนั้นก็บริหารกันไป อย่างไรก็ตาม ภาคเอกชนต้องเป็นผู้นำด้านการเปลี่ยนแปลง ตนเป็นผู้นำชั่วคราวเพื่อปลดล็อก หลังจากนี้อีก 1 ปี 5 เดือนก็จะไปแล้ว

ด้านนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี กล่าวในหัวข้อสรุปแนวทางการบูรณาการการขับเคลื่อนประเทศไทยว่า มีการวิเคราะห์ว่าเศรษฐกิจโลกปีนี้ไร้กำลังขับเคลื่อน และไร้ความแน่นอน ดังนั้นทุกฝ่ายต้องตั้งสติ ใช้วิกฤตเป็นโอกาส อย่างไรก็ตาม แบงก์ชาติและสภาพัฒน์มองว่าเศรษฐกิจไทยจะขยายตัว 3.5% ก็เป็นระดับการเติบโตที่ดีพอสมควร โดยรัฐจะเร่งขับเคลื่อนทุกภาคส่วน

ในวันพรุ่งนี้ (26 ม.ค.) จะมีการนำเสนอวาระการพัฒนาความเข้มแข็งฐานรากตามแนวประชารัฐ โดยให้เงินหมู่บ้านละไม่เกิน 5 แสนบาท หรือรวมเป็น 3.5 หมื่นล้านบาท เพื่อให้ชาวบ้านได้ใช้ในโครงการที่ต้องการ เช่น เช่าอุปกรณ์การทำการเกษตร โรงสีชุมชน เป็นต้น ซึ่งเป็นครั้งแรกที่เดินหน้าโครงการนี้สู่ฐานราก ในขณะเดียวกันได้หารือกับกระทรวงมหาดไทยในการแก้อุปสรรค ให้สามารถนำเงินของ อบต.และ อบจ.ที่ฝากในธนาคารรวม 3 แสนล้านบาทออกมาใช้

ภาคเอกชนมั่นใจ ศก.ปีนี้ฟื้นตัว

นายกานต์ ตระกูลฮุน ประธานที่ปรึกษาฝ่ายจัดการ บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) กล่าวในหัวข้อ “ทิศทางอุตสาหกรรมไทยปี 2559” ว่า ในปีนี้ภาพรวมเศรษฐกิจทั้งสหรัฐฯ และยุโรปดีขึ้น แต่ที่กังวลคือเศรษฐกิจจีนที่โตชะลอตัวลง และจีดีพีจะต่ำกว่าที่รัฐบาลจีนประกาศไว้ ซึ่งปีที่ผ่านมาบริษัทฯ ส่งออกสินค้าไปจีนเป็นมูลค่า 1 พันล้านเหรียญสหรัฐ ก็ยังมีปริมาณการส่งออกไปจีนที่เพิ่มขึ้น

อย่างไรก็ตาม คาดว่าในปีนี้จีนจะส่งออกซีเมนต์ และเหล็กเพิ่มมากขึ้นซึ่งจะส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมดังกล่าวทั่วโลก ดังนั้นจำเป็นที่เอกชนไทยต้องมีการลงทุนด้านนวัตกรรมเพื่อผลิตสินค้าที่มีมูลค่าเพิ่มมากขึ้นแทนสินค้าทั่วไป รวมทั้งหันมารุกตลาดอาเซียนมากขึ้นโดยเฉพาะพม่า เวียดนาม กัมพูชา และอินโดนีเซีย ขณะเดียวกันภาครัฐจะมีการลงทุนโครงการเมกะโปรเจกต์ 1.78 ล้านล้านบาท ซึ่งจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศ

นายประเสริฐ บุญสัมพันธ์ ประธานกรรมการ บมจ.พีทีที โกลบอล เคมิคอล กล่าวว่า ทิศทางราคาน้ำมันในอีก 2-3 ปีข้างหน้าราคาน้ำมันจะอยู่ที่ 40-60 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรลภายใต้พื้นฐานเศรษฐกิจโลกเติบโตตามพื้นฐานที่ควรเป็น โดยในปีนี้คาดว่าราคาน้ำมันจะอยู่ที่ระดับ 30-40 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรลบนสมมติฐานว่าเศรษฐกิจโลกยังขยายตัวดี ซึ่งจะไม่มีผลกระทบต่อราคาขายปลีกน้ำมันมากนักจากปัจจุบันที่ราคาน้ำมันดิบอยู่ที่ 20 กว่าเหรียญสหรัฐ/บาร์เรล โดยภาคอุตสาหกรรมควรใช้เวลานี้ในการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต รวมทั้งเห็นด้วยที่รัฐจะปรับโครงสร้างราคาพลังงานทั้งก๊าซฯ และน้ำมัน รวมทั้งการเก็บภาษีสรรพสามิตและกองทุนน้ำมัน ทำให้รัฐมีเงินเพิ่มขึ้นนับแสนล้านบาทมาใช้ในการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน

จากราคาน้ำมันที่ปรับตัวลดลงนี้ ทำให้มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด (มาร์เกตแคป) ของหุ้น ปตท.หายไป 3 แสนล้านบาท และ บมจ.ปตท.สผ.หายไป 2 แสนล้านบาท

นายบุญชัย โชควัฒนา ประธานกรรมการ บริษัท สหพัฒนพิบูล จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า เศรษฐกิจโลกและไทยวัฏจักรมีทั้งขึ้นและลง ในส่วนของไทยคิดว่าไทยต่ำสุดแล้ว และแนวโน้มต่อไปจะค่อยๆ ฟื้นตัวดีขึ้น เพราะรัฐบาลตั้งใจจริงในการกระตุ้นเศรษฐกิจทั้งเงินระยะสั้นและโครงสร้างพื้นฐาน ดังนั้นเสนอให้รัฐไม่กลัวจะช่วยคนจน อย่ากลัวคนกล่าวหาว่าส่งเสริมประชานิยม เพราะคนลำบากเมื่อมีเงินไปช่วยเหลือเขาจะยินดีมากแต่ต้องให้เงินถึงมือ ไม่ตกหล่น

ส่วนการลดภาษีเงินได้นิติบุคคลเหลือ 20% ก็ขอให้ภาคเอกชนที่ได้ประโยชน์ส่วนนี้จะทำอะไรให้เงินส่วนที่เหลือจากภาษีที่ลดลงเปลี่ยนเป็นเงินปันผลหรือลงทุนเพื่อเป็นประโยชน์ต่อประเทศ หรืออาจจะมีเอกชนบางรายอาสาสมัครจ่ายภาษีเพิ่มขึ้นกว่า 20% ก็จะเป็นประโยชน์ต่อประเทศ
กำลังโหลดความคิดเห็น