xs
xsm
sm
md
lg

ก.พลังงานวิตกน้ำมันขาลง ชี้ปี 58 ใช้เพิ่ม 4.2% ระยะยาวเสี่ยงนำเข้าพุ่ง

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online


ก.พลังงานผวาน้ำมันขาลงหวั่นดันยอดใช้พุ่งกระฉูดหลังปี 2558 คนไทยเพลินใช้น้ำมันเพิ่มขึ้นถึง 4.2% ทำให้ระยะยาวเสี่ยงต้องนำเข้าน้ำมันเพิ่มขึ้น อ้อนคนไทยช่วยกันประหยัดโดยเฉพาะใช้ระบบขนส่งมวลชนซึ่งจะช่วยลดปัญหาการจราจรได้อีกทาง


นายอารีพงศ์ ภู่ชอุ่ม ปลัดกระทรวงพลังงาน เปิดเผยว่า จากการประเมินทิศทางแนวโน้มราคาขายปลีกน้ำมันของไทยระยะสั้นจะทรงตัวอยู่ในระดับต่ำและมีแนวโน้มลดลงได้อีกจนถึงสิ้นไตรมาสแรกของปี 2559 และตลอดปี 2559 ภาพรวมก็จะไม่สูงมากนักหากไม่มีเหตุกรณีฉุกเฉิน เช่น ภาวะสงคราม และก่อการร้ายอย่างรุนแรง โดยระดับราคาขายปลีกน้ำมันที่ลดลงต่อเนื่องทำให้กระทรวงฯ มีความกังวลถึงยอดการใช้น้ำมันของไทยที่เพิ่มขึ้นอย่างมากเพราะอาจเป็นปัญหาระยะยาวที่ไทยต้องเสี่ยงกับการนำเข้าน้ำมันที่เพิ่มขึ้น

ทั้งนี้ ราคาขายปลีกที่ลดลงสะท้อนจากราคาน้ำมันดิบดูไบที่คาดว่าในปี 2559 จะมีราคาเฉลี่ยอยู่ระหว่างประมาณ 35-45 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล (ปัจจุบันราคาน้ำมันดิบดูไบอยู่ที่ 26 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล) ซึ่งสาเหตุหลักที่ราคาน้ำมันลดลง จากการคาดการณ์ของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ หรือ IMF ที่เตือนว่า จากภาวะเศรษฐกิจของจีนที่เริ่มชะลอตัวซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อการลงทุนในตลาดหุ้นทั่วโลกรุนแรงเกินกว่าที่คาดการณ์ไว้ ทำให้ยอดการผลิตน้ำมันของกลุ่มผู้ผลิตน้ำมันรายใหญ่ของโลก หรือโอเปก ยังคงสูงกว่ายอดใช้อยู่เล็กน้อย

“ปี 2558 ที่ผ่านมามียอดการใช้น้ำมันสำเร็จรูปรวมทุกผลิตภัณฑ์เพิ่มขึ้นจากปี 2557 ประมาณ 4.2% ส่วนหนึ่งมาจากปัจจัยราคาน้ำมันขายปลีกในประเทศปรับตัวลดลงจากไตรมาสแรกของปี 58 จนถึงปัจจุบันประมาณ 10-12 บาทต่อลิตร รวมทั้งจากปัจจัยการสลับจากการใช้เชื้อเพลิงทางเลือกอย่างก๊าซ LPG และ NGV มาใช้น้ำมันบางส่วน หากยังมียอดการใช้น้ำมันในประเทศเพิ่มขึ้นต่อเนื่องก็อาจจะเกิดความเสี่ยงที่ประเทศไทยต้องนำเข้าน้ำมันเพิ่มขึ้น” นายอารีพงศ์กล่าว

ทั้งนี้ กระทรวงพลังงานจะขอความร่วมมือจากประชาชนในการประหยัดพลังงานต่อเนื่อง ลดการใช้น้ำมันลงหรือใช้ในยามจำเป็น โดยเฉพาะมาตรการที่ทำได้ง่ายๆ สำหรับผู้ขับขี่รถยนต์ที่จะช่วยลดการใช้น้ำมัน เช่น การเติมลมยางให้อยู่ในระดับพอดีไม่ให้อ่อนและแข็งเกินไป การขับรถไม่เกิน 90 กม.ต่อชั่วโมง การไม่บรรทุกสิ่งของมากเกินความจำเป็น และการตรวจเช็กเครื่องยนต์อย่างสม่ำเสมออย่างน้อยปีละ 2 ครั้ง รวมถึงการเลือกใช้ระบบขนส่งมวลชน และขนส่งสาธารณะเพิ่มขึ้นก็จะช่วยให้เกิดการใช้พลังงานที่มีประสิทธิภาพ ช่วยให้ประหยัดเงินได้มากยิ่งขึ้น รวมทั้งยังเป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยบรรเทาวิกฤตจราจรในปัจจุบันอีกด้วย
กำลังโหลดความคิดเห็น