ร.ฟ.ท.เซ็นสัญญาก่อสร้างทางคู่ 2 สายรวด “ฉะเชิงเทรา-คลองสิบเก้า-แก่งคอย และชุมทางถนนจิระ-ขอนแก่น” วงเงินรวมกว่า 3.36 หมื่นล้าน “อาคม” เผยเริ่มสตาร์ททางคู่ระยะเร่งด่วนแล้ว พร้อมกำชับติดตามงานก่อสร้างห้ามล่าช้า ส่วนอีก 4 เส้นทางที่เหลือคาดทยอยประมูลช่วงประจวบคีรีขันธ์-ชุมพร 1.72 หมื่นล้านได้ปลาย ม.ค. 59 ช่วงมาบกะเบา-ชุมทางถนนจิระ 2.98 หมื่นล้าน คาดประมูลได้ ก.พ. 59 หลัง สผ.เห็นชอบ EIA แล้ว ด้าน “ปลิว ตรีวิศวเวทย์” เผยประมูลงานรัฐต้องแข่งที่ต้นทุน ชี้ราคาน้ำมันช่วยได้ เผยมี Net Profit ประมาณ 3-4%
วันนี้ (24 ธ.ค.) นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ได้เป็นประธานในการลงนามในสัญญาจ้างผู้รับจ้างโครงการก่อสร้างทางคู่ 2 เส้นทาง ของการรถไฟแห่งประเทศไทย (ร.ฟ.ท.) คือ เส้นทางรถไฟสายชายฝั่งทะเลตะวันออก ช่วงฉะเชิงเทรา-คลองสิบเก้า-แก่งคอย สัญญาที่ 1 งานก่อสร้างรถไฟทางคู่ช่วงฉะเชิงเทรา-คลองสิบเก้า-วิหารแดง และช่วงบุใหญ่-แก่งคอย ระยะทาง 97 กม. และทางคู่เลี่ยงเมือง (Chord Lines) 3 แห่ง ระยะทาง 7.1 แห่ง กับ บริษัท ซิโน-ไทย เอ็นจิเนียริ่ง แอนด์ คอนสตรัคชั่น จำกัด (มหาชน) วงเงิน 9,825.81 ล้านบาท (รวม VAT) และงานสัญญา 2 งานก่อสร้างรถไฟทางคู่ ช่วงวิหารแดง-บุใหญ่ ระยะทาง 9 กม. พร้อมอุโมงค์รถไฟลอดใต้เขาพระพุทธฉาย ระยะทาง 1.2 กม. กับ บริษัท ไร้ท์ทันเน็ลลิ่ง จำกัด วงเงิน 407,049,596.00 บาท (รวม VAT)
และสัญญาจ้างผู้รับจ้างโครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่ ช่วงชุมทางถนนจิระ-ขอนแก่น ระยะทาง 187 กม. กับ กิจการร่วมค้า ซีเคซีเอช ที่มีบริษัท ช.การช่าง จำกัด (มหาชน) เป็นแกนนำ วงเงิน 23,444.02 ล้านบาท (รวม VAT)
โดยนายอาคมกล่าวว่า นับจากการก่อสร้างโครงการรถไฟทางคู่เส้นทางล่าสุดคือ ฉะเชิงเทรา-ศรีราชา ซึ่งคณะรัฐมนตรี (ครม.) อนุมัติเมื่อวันที่ 27 เม.ย. 2553 เป็นเวลา 5 ปี ถึงได้เริ่มก่อสร้างโครงการรถไฟทางคู่ 2 เส้นทางนี้ ซึ่ง พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้มีนโยบายเร่งรัดการก่อสร้างโครงการที่ค้างอยู่ ซึ่งกระทรวงคมนาคมและผู้เกี่ยวข้องได้แก้ปัญหาจนเริ่มต้นโครงการได้ ซึ่งได้กำชับการก่อสร้างให้แล้วเสร็จตามกำหนด โดย ร.ฟ.ท.จะเริ่มส่งมอบพื้นที่ประมาณปลายเดือน ม.ค. 2559 และเริ่มการก่อสร้างในเดือน ก.พ. 2559 ซึ่งบริษัทผู้รับจ้างทุกรายได้ให้คำมั่นว่าจะดำเนินการก่อสร้างตามสัญญา ในระยะเวลา 36 เดือน พร้อมงานที่มีคุณภาพ มาตรฐานและปลอดภัย
นายออมสิน ชีวะพฤกษ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม กล่าวว่า รถไฟทางคู่ระยะเร่งด่วนอีก 4 เส้นทางที่เหลือ คือ ช่วงประจวบคีรีขันธ์-ชุมพร ระยะทาง 167 กม. วงเงิน 17,291 ล้านบาท คาดว่าจะประกวดราคาได้ช่วงปลายเดือน ม.ค. 2559 ช่วง มาบกะเบา-ชุมทางถนนจิระ ระยะทาง 132 กม. วงเงิน 29,853 ล้านบาท ล่าสุดเมื่อวันที่ 23 ธ.ค. 2558 คณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ (สผ.) ได้เห็นชอบรายงานการศึกษาผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) แล้ว คาดว่าจะเปิดประกวดราคาได้อย่างช้าเดือน ก.พ. 2559 ซึ่งช่วงมาบกะเบา-ชุมทางถนนจิระ มีความสำคัญในการแก้ปัญหาคอขวดของเส้นทางรถไฟที่จะเชื่อมต่อภาคอีสาน ส่วนช่วงลพบุรี-ปากน้ำโพ ระยะทาง 148 กม. วงเงิน 24,840 ล้านบาท และช่วงนครปฐม-หัวหิน ระยะทาง 165 กม. วงเงิน 20,306 ล้านบาท อยู่ระหว่าง สนข.แก้ไขรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม(EIA) ให้คณะผู้ชำนาญการ สผ.
อย่างไรก็ตาม ในการก่อสร้างรถไฟทางคู่ 2 ช่วงที่ได้ลงนามครั้งนี้ ได้กำชับให้ ร.ฟ.ท.ติดตามเร่งรัดการก่อสร้างอย่างใกล้ชิดเพื่อไม่ให้เกิดความล่าช้าเหมือนการก่อสร้างที่ผ่านมา การก่อสร้างต้องเป็นไปตามตารางแผนงานที่กำหนด และรายงานให้กระทรวงรับทราบเป็นระยะๆ เชื่อว่าจะไม่มีปัญหาอุปสรรคเพราะก่อสร้างไปบนเขตทางรถไฟเดิม
นายปลิว ตรีวิศวเวทย์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ช.การช่าง จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า งานก่อสร้างช่วงชุมทางถนนจิระ-ขอนแก่น มีระยะทาง 187 กม. ถือว่าค่อนข้างยาว และมีสะพานข้ามแม่น้ำหลายแห่ง ซึ่งการจับมือกับ บริษัท ช.ทวีก่อสร้าง จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทที่มีประสบการณ์งานก่อสร้างรถไฟ ทำให้มั่นใจว่างานจะสำเร็จตามเป้าหมาย ทั้งนี้ ทีมงานได้วางแผนในเรื่องต้นทุน แหล่งวัสดุ แรงงาน จึงทำให้สามารถเสนอราคาได้ต่ำที่สุด อย่างไรก็ตาม การประมูลก่อสร้างงานของภาครัฐนั้นจะต้องแข่งขันที่ต้นทุน ซึ่งราคาน้ำมันที่ลดลงเป็นปัจจัยที่ทำให้ลดราคาลงได้ โดยงานภาครัฐจะมีกำไรสุทธิ (Net Profit) อยู่ที่ประมาณ 3-4%
โดยในปี 2559 บริษัทเตรียมพร้อมเข้าร่วมประมูลงานของคมนาคมที่จะทยอยเปิดประมูลทุกงาน ทั้งรถไฟฟ้า มอเตอร์เวย์ รถไฟทางคู่ โดยได้เตรียมพร้อมด้านแรงงาน วิศวกรไว้แล้ว ขณะที่งานก่อสร้างที่มีสัญญาแล้ว จะทยอยแล้วเสร็จ เช่น รถไฟฟ้าสายสีม่วง ช่วงบางใหญ่-เตาปูน, ทางด่วนศรีรัช-วงแหวนรอบนอก จะเสร็จกลางปี 2559 และรถไฟฟ้าสายสีเขียวใต้ ช่วงแบริ่ง-สมุทรปราการ จะทยอยเสร็จปลายปี 2559