“พาณิชย์” มั่นใจดันส่งออกปีหน้าโต 5% หลังเศรษฐกิจและการค้าโลกฟื้นตัว เศรษฐกิจคู่ค้าสำคัญดีขึ้น เป็นห่วงราคาเกษตรยังตกต่ำ น้ำมันฉุดกำลังซื้อ บาทอ่อนค่าน้อยกว่าคู่แข่ง ฉุดยอดลด เตรียมแผนบุกเจาะตลาด เน้นรายเมือง โฟกัสอาเซียน จีน อินเดีย พร้อมเจาะสหรัฐฯ ยุโรป ญี่ปุ่น เน้นขายเป็นรายกลุ่ม
นางมาลี โชคล้ำเลิศ อธิบดีกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ เปิดเผยว่า กรมฯ ได้ตั้งเป้าหมายการส่งออกสินค้าไทยในปี 2559 ว่าจะขยายตัว 5% มูลค่า 2.25 แสนล้านเหรียญสหรัฐ เนื่องจากได้รับปัจจัยบวกจากเศรษฐกิจโลกที่กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) คาดว่าจะเติบโต 3.6% การค้าโลกเพิ่มขึ้น 2.4% ขณะที่เศรษฐกิจคู่ค้าสำคัญของไทย ก็มีแนวโน้มขยายตัวดีขึ้น โดยสหรัฐฯ เพิ่มขึ้น 2.8% สหภาพยุโรป เพิ่ม 1.6% ญี่ปุ่น เพิ่ม 1% อินเดีย เพิ่ม 7.5% อาเซียน เพิ่ม 4.9% และจีน เพิ่ม 6.3%
ทั้งนี้ ได้ตั้งเป้าผลักดันการส่งออกไปยังตลาดสหรัฐฯ เพิ่มขึ้น 3% สหภาพยุโรปเพิ่ม 2.8% ละตินอเมริกาเพิ่ม 17.2% จีนเพิ่ม 3.5% อินเดียเพิ่ม 9% อาเซียนเพิ่ม 6% เฉพาะ CLMV เพิ่ม 13.6% ออสเตรเลียเพิ่ม 10% ส่วนตะวันออกกลางลดลง 3% แอฟริกาลด 8% รัสเซียลด 15% จากเดิมลดลง 40% ญี่ปุ่นลด 1.5%
อย่างไรก็ตาม มีปัจจัยที่จะส่งผลกระทบต่อการส่งออก โดยเฉพาะราคาสินค้าเกษตรทั่วโลกปรับตัวลดลง ส่งผลกระทบต่อราคาสินค้าเกษตรของไทย ราคาน้ำมันดิบตลาดโลกปรับตัวลดลง กระทบต่อการส่งออกน้ำมันและสินค้าที่เกี่ยวเนื่องจากน้ำมัน และยังทำให้ประเทศที่ส่งออกน้ำมันมีกำลังซื้อลดลง ทำให้ซื้อสินค้าไทยลดลง ความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยนที่ไทยอ่อนค่าน้อยกว่าคู่แข่ง ทำให้ขีดแข่งขันลดลง และผลจากการก่อการร้ายที่กระทบต่อการค้าขาย
นางมาลีกล่าวว่า สินค้าที่มีโอกาสในการส่งออกในปี 2559 ได้แก่ ยานยนต์และชิ้นส่วน จากความต้องการของตลาดโลกที่เพิ่มขึ้น อัญมณีและเครื่องประดับ มีการลดภาษีวัตถุดิบ ทำให้ต้นทุนลดลง ไก่สดแช่เย็นแช่แข็งและแปรรูป ได้รับผลดีจากการยกเลิกการห้ามนำเข้าจากโรคไข้หวัดนก รวมถึงสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ เครื่องใช้ไฟฟ้า วัสดุก่อสร้าง เครื่องจักรและส่วนประกอบ เครื่องสำอางและเภสัชภัณฑ์ เฟอร์นิเจอร์และชิ้นส่วน ของขวัญของชำร่วยของตกแต่งบ้าน ที่จะส่งออกได้มากขึ้น
ส่วนสินค้าที่คาดว่าจะส่งออกได้ลดลง เช่น สินค้าประมง อาหารทะเลแช่เย็น เพราะมีปัญหาเรื่องแรงงานในภาคอุตสาหกรรม ซึ่งขณะนี้รัฐกำลังแก้ไขปัญหาอยู่ ผลิตภัณฑ์ยาง ราคาตลาดโลกปรับตัวลดลง เครื่องนุ่งห่ม ผ้าผืน และด้าย มีการย้ายฐานการผลิตไปยังประเทศเพื่อนบ้าน
อย่างไรก็ตาม เพื่อเป็นการชดเชยการส่งออกที่ลดลง กรมฯ จะให้ความสำคัญกับการผลักดันการส่งออกธุรกิจบริการ ได้แก่ ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับบริการสุขภาพและความงาม ลอจิสติกส์ โรงพยาบาล เอ็นเตอร์เทนเมนต์และดิจิตอลคอนเทนต์ การศึกษา และการบริการด้านวิชาชีพ
นางมาลีกล่าวว่า สำหรับแผนการผลักดันการส่งออกที่จะเร่งดำเนินการ จะเน้นการผลักดันการส่งออกเป็นรายเมือง มากกว่าเจาะทั้งประเทศ โดยตลาดเอเชียมีแผนที่จะบุกเจาะตลาดอาเซียนโดยจะจัดโครงการท็อปไทยแบรนด์ ใน 6 เมืองหลัก นำสินค้าแบรนด์ชั้นนำของไทยไปจัดแสดงและโปรโมตเพื่อสร้างการยอมรับ ส่วนในเมืองรองของอาเซียนจะจัดมินิ ไทยแลนด์ วีก จำนวน 15 ครั้ง และยังจะมีการจัดโครงการเชื่อมโยงนักธุรกิจไทยกับอาเซียน เพื่อทำความรู้จักและเพิ่มโอกาสในการค้าขายด้วย
ส่วนตลาดจีนจะเน้นขยายตลาดเมืองรอง เช่น เฉิงตู หนิงเซียะ ฉงชิ่ง ฝูโจว หนานจิง กุ้ยหลิน อู๋ฮั่น ตงก่วน อูรูมูฉี และอินเดีย จะเน้นจัดงานไทยแลนด์ วีก เจาะตลาดใน 3 เมือง คือ เจนไน บังกาลอร์ และจัณฑิการ์
ทางด้านตลาดหลัก ได้แก่ สหรัฐฯ จะเน้นการผลักดันการส่งออกสินค้าเจาะกลุ่มเฉพาะ คือ กลุ่มฮิสแปนิก กลุ่มเพศทางเลือก การขายผ่านอี-คอมเมิร์ซ และทีวี ชอปปิ้ง ญี่ปุ่น เจาะกลุ่มผู้สูงอายุ กลุ่มสถาบันโรงแรม และร้านอาหาร ยุโรป เน้นเจาะกลุ่มผู้สูงอายุ กลุ่มสินค้าเพื่อสุขภาพ และโรงอาหาร ส่วนตลาดใหม่ ได้แก่ รัสเซียจะเน้นขายสินค้าอุปโภคบริโภค ข้าว และไก่ ส่วนอิหร่าน จอร์แดน เน้นเจรจาเปิดตลาดและขายข้าว ยางพารา ขณะที่แอฟริกาเน้นขายข้าวและนำเข้าวัตถุดิบอัญมณี
