ม.หอการค้าไทย เผย 10 ธุรกิจดาวรุ่ง-ดาวร่วง ปี 59 ธุรกิจการแพทย์ เสริมความงาม คว้าแชมป์ติดต่อกัน 5 ปีซ้อน ตามด้วยธุรกิจสื่อสาร หลังเข้าสู่ยุคดิจิตอล อิโคโนมี ส่วนหัตถกรรมติดโผดาวร่วง เผยปัจจัยหนุนการทำธุรกิจมาจากรัฐเร่งกระตุ้นเศรษฐกิจ ลุยเมกะโปรเจกต์ เปิด AEC เศรษฐกิจโลกฟื้นตัว และมี 4G พร้อมคาดจีดีพีปีหน้าโต 4%
นางเสาวณีย์ ไทยรุ่งโรจน์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยถึงผลการจัดอันดับ 10 ธุรกิจเด่นในปี 2559 โดยประเมินจากยอดขาย ต้นทุน การรับมือกับความเสี่ยง กำไร และกระแสความต้องการของตลาด ว่าธุรกิจทางการแพทย์และความงามยังครองอันดับ 1 ต่อเนื่องเป็นปีที่ 5 นับตั้งแต่ปี 2554 เนื่องจากกระแสการให้ความสำคัญกับการรักษาสุขภาพและการดูแลความงามมีมากขึ้น และไทยเองได้รับการยอมรับจากทั้งในและต่างประเทศ ในด้านคุณภาพและราคาไม่แพง
ส่วนธุรกิจอันดับ 2 เป็นธุรกิจเทคโนโลยีสื่อสาร เนื่องจากการเข้าสู่ยุค Digital Economy และ 4G ทำให้มีการพัฒนาระบบสื่อสารที่เพิ่มสูงขึ้น ส่งผลให้ความต้องการใช้ระบบสื่อสารมีจำนวนมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง อันดับ 3 ธุรกิจเครื่องสำอางและครีมบำรุงผิว อันดับ 4 ธุรกิจการท่องเที่ยว อันดับ 5 ธุรกิจประกันภัยและประกันชีวิต อันดับ 6 ธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม โดยเฉพาะเพื่อสุขภาพ อันดับ 7 ธุรกิจขนส่งและลอจิสติกส์ อันดับ 8 มี 2 ธุรกิจ ได้แก่ ธุรกิจจัดการตลาด เช่น ตลาดนัดและตลาดสด ตลาดนัดกลางคืน และธุรกิจขายวัสดุก่อสร้างและธุรกิจก่อสร้าง อันดับ 9 มี 2 ธุรกิจ ได้แก่ ธุรกิจจำหน่ายและผลิตภัณฑ์สำหรับผู้สูงอายุ และธุรกิจยา เวชภัณฑ์ และสมุนไพรธรรมชาติ และอับดับที่ 10 มี 2 ธุรกิจ ได้แก่ ธุรกิจพลังงานทดแทนและพลังงานหมุนเวียน
สำหรับ 10 อันดับธุรกิจดาวร่วงปี 2559 ประกอบไปด้วย 1. ธุรกิจหัตถกรรม 2. ธุรกิจฟอกย้อม 3. สิ่งทอผ้าผืน 4. ธุรกิจจำหน่าย ผักและผลไม้อบเเห้ง และธุรกิจร้านค้าดั้งเดิมที่ไม่ปรับตัว 5. กิจรับซื้อยาง 6. โรงสีขนาดเล็ก 7. ธุรกิจสิ่งพิมพ์ หนังสือ 8. ธุรกิจรับซื้อคอมพิวเตอร์มือสองและร้านจำหน่ายโทรศัพท์มือสอง 9. ธุรกิจจำหน่ายอุปกรณ์เครื่องจักรทางการเกษตร และ 10. ธุรกิจพ่อค้าคนกลางพืชผลทางการเกษตร
นายธนวรรธน์ พลวิชัย ผู้อำนวยการศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย กล่าวว่า ปัจจัยที่สนับสนุนการทำธุรกิจในปี 2559 มาจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลที่มีออกมาอย่างต่อเนื่อง การขับเคลื่อนโครงการเมกะโปรเจ็กต์ และยังได้รับผลดีจากการเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน การฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกที่เริ่มเห็นชัดเจนขึ้น สถานการณ์การเมืองที่มีเสถียรภาพ และการพัฒนาโครงข่าย 4G
ส่วนแนวโน้มเศรษฐกิจไทยในปีหน้า คาดว่าจะขยายตัวได้ 4% โดยมีปัจจัยมาจากการส่งออกที่คาดว่าจะขยายตัวได้ 4% การบริโภคภายในประเทศขยายตัว 3.7% การลงทุนขยายตัว 6.2% อุตสาหกรรมขยายตัว 3.6% ภาคเกษตรขยายตัว 0.7% และอัตราเงินเฟ้อขยายตัว 1.4% ขณะที่ผลกระทบจากกรณีที่เฟดขึ้นดอกเบี้ย จะมีผลกระทบต่อเงินทุนไหลออกในระยะสั้น ทำให้เงินบาทอ่อนค่า แต่ต่อไปจะกลับเข้าสู่สมดุล หลังจากที่ไทยมีการระดมเงินทุนเข้ามาทำโครงการเมกะโปรเจ็กต์ ทำให้มีเงินไหลเข้ามามากขึ้น