วิเคราะห์ 5 เทรนด์การตลาดปีวอก

ผู้จัดการรายวัน 360 - “มายด์แชร์” พัฒนาเครื่องมือการตลาดรูปแบบใหม่ Loop Room ตอบโจทย์ความต้องการแบรนด์ในการคิดค้นแคมเปญเพื่อเข้าถึงผู้บริโภคอย่างตรงจุดในลักษณะ Adaptive Marketing ย้ำคอนเทนต์เป็นสิ่งสำคัญในสื่อทุกช่องทาง มั่นใจสื่อดิจิตอลจะเติบโตอย่างเห็นได้ชัด คาดปี 59 ภาพรวมอุตสาหกรรมโฆษณาเติบโต 3-6% ใกล้เคียงกับปี 58 ทำนายทิศทางการตลาดแบรนด์และองค์กรจำเป็นต้องใช้ข้อมูลที่มีอย่างมหาศาลให้เกิดประโยชน์

นางสาวปัทมวรรณ สถาพร กรรมการผู้จัดการ “มายด์แชร์” (ประเทศไทย) เอเยนซีเครือข่ายด้านการตลาดและการสื่อสารในประเทศไทยซึ่งเป็นส่วนหนึ่งในเครือข่าย WPP Network เปิดเผยว่า จากภาวะเศรษฐกิจของปี 2558 ที่ยังอยู่ในช่วงชะลอตัว คาดว่าอัตราเติบโตทางจีดีพีของประเทศไทยจะอยู่ในระดับ 2.9% ขณะที่ภาพรวมอุตสาหกรรมโฆษณาจะเติบโตประมาณ 4-7% โดยคาดว่าในปี 2559 สถานการณ์ต่างๆ จะยังคงอยู่ในภาวะใกล้เคียงกันคืออัตราเติบโตทางจีดีพีจะอยู่ในระดับ 2-4% ส่วนภาพรวมอุตสาหกรรมโฆษณาจะเติบโตประมาณ 3-6% ซึ่งถือว่าอยู่ในระดับปานกลาง โดยมีปัจจัยเสี่ยงขึ้นอยู่กับสถานการณ์ต่างๆ ทั่วโลกที่ไม่สามารถควบคุมได้ เช่น ภัยพิบัติทางธรรมชาติ, เหตุการณ์ก่อการร้าย, อัตราแลกเปลี่ยนผกผัน และอื่นๆ

อย่างไรก็ตาม ในปี 2559 ยังจะมีเทรนด์การตลาดใหม่ที่มีความท้าทายและน่าตื่นเต้นต่อแบรนด์และองค์กรในการปรับกลยุทธ์การตลาดและนำเสนอแคมเปญต่างๆ เพื่อขับเคลื่อนธุรกิจให้บรรลุเป้าหมาย คือการวิเคราะห์ข้อมูลต่างๆ ให้สอดคล้องกับพฤติกรรมของผู้บริโภคที่สามารถรับรู้ข้อมูลต่างๆ ที่มีความซับซ้อนมากขึ้นได้ง่ายๆ โดยคำนึงปัจจัยสำคัย 5 ประการ คือ 1. สื่อจะสามารถเคลื่อนที่ไปทุกสถานที่ได้ด้วยสมาร์ทโฟน (Mobile Anywhere Anytime) 2. ผู้บริโภคจะมีพฤติกรรมเชื่อมโยงกับสื่อมากขึ้น (More Connected) 3. การหลอมรวมของสื่อหลายๆ ประเภท (Media Convergence Consolidated Platforms) 4. การสื่อสารข้อมูลไปยังผู้บริโภคให้มีความเป็นส่วนบุคคลมากขึ้น (Personalized Experiences) 5. การปรับเปลี่ยนและวิเคราะห์ข้อมูลต่างๆ ได้อย่างแม่นยำและรวดเร็ว (Smart Data For Real Time Adaptivity)

จากเทรนด์การตลาดดังกล่าว “มายด์แชร์” จึงพัฒนาเครื่องมือการตลาดรูปแบบใหม่ในการวางแผนสื่อเพื่อการเข้าถึงผู้บริโภคอย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น คือ Loop Room ซึ่งถือเป็นการบริหารและจัดการกับข้อมูลที่มากมายมหาศาลให้เกิดประโยชน์ (Big Data to Smart Data) เพื่อนำมาวิเคราะห์และปรับกลยุทธ์การสื่อสารการตลาดให้สอดคล้องกับพฤติกรรมผู้บริโภคในลักษณะของ Adaptive Marketing โดยใช้ข้อมูลเชิงลึก (Insights) แบบเรียลไทม์เพื่อขับเคลื่อนการเรียนรู้และตอบสนองแบบเรียลไทม์ที่รวดเร็วขึ้น โดยในส่วนของประเทศไทยถือเป็น 1 ใน 20 ประเทศของ “มายด์แชร์” ทั่วโลกที่เริ่มนำเครื่องมือนี้มาใช้งานเพื่อตอบสนองความต้องการลูกค้า

“ไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภคในปี 2559 จะบ่งชัดเจนมากขึ้นว่าเป็นยุคมัลติสกรีนที่ใช้งานผ่านช่องทางที่หลากหลาย โดยการใช้สมาร์ทโฟนของผู้บริโภคถือเป็นการเปลี่ยนวิถีการเลือกซื้อสินค้าและการแชร์แบรนด์ผ่านการค้นหาและเครือข่ายสังคมอย่างเห็นได้ชัด แบรนด์และองค์กรต่างๆ จึงจำเป็นต้องพัฒนาด้วยการปรับรูปแบบช่องทางการใช้สื่อจากเดิมที่ให้ความสำคัญต่อสื่อโทรทัศน์เป็นหลัก โดยต้องให้ความสำคัญในเรื่องของคอนเทนต์เป็นสำคัญว่าจะอยู่ในมิติใดได้บ้าง เช่น อาจเผยแพร่เป็นไวรัลคลิปผ่านทางสมาร์ทโฟนเพื่อสร้างการรับรู้ก่อนที่จะตอกย้ำอีกครั้งหนึ่งผ่านสื่อกลางแจ้ง โดยใช้สื่อโทรทัศน์เป็นลำดับสุดท้ายเพื่อกระตุ้นให้เกิดการซื้อในที่สุด”

นางสาวปัทมวรรณกล่าวด้วยว่า สำหรับสถานการณ์ทั่วไปด้านการตลาดในปี 2559 คาดว่าจะยังคงมีความใกล้เคียงกับสิ่งที่เกิดขึ้นในปี 2558 ส่งผลให้แบรนด์และองค์กร ตลอดจนกลุ่มธุรกิจอุตสาหกรรมที่มีการใช้งบฯ โฆษณาสูงสุดยังคงเป็นกลุ่มเดิมๆ โดยแพลตฟอร์มที่จะมีบทบาทเด่นชัดที่สุดยังคงเป็นสมาร์ทโฟนและโทรทัศน์ ขณะที่สื่อที่น่าจับตามองมากที่สุดคือ สื่อดิจิตอล ที่คาดว่าจะมีมูลค่าไม่ต่ำกว่า 1 หมื่นล้านบาทจาก 9.9 พันล้านบาทในปี 2558

ขณะเดียวกัน ทีวีดิจิตอลก็จะกลายเป็นช่องปกติของทุกครัวเรือนและจะมีการวัดผลเรตติ้งที่ชัดเจนยิ่งขึ้น ส่วนสื่อสิ่งพิมพ์โดยเฉพาะนิตยสารที่ถือว่าต้องปรับตัวมากที่สุดเพราะในช่วงที่ผ่านมาต้องปิดตัวไปหลายรายนั้น ในความเป็นจริงแม้จะไม่มีการจัดพิมพ์เป็นรูปเล่มแต่ก็ยังดำรงสถานะสื่อในรูปแบบของสื่อดิจิตอล โดยสื่อบางฉบับยังคงมีการจัดพิมพ์ในลักษณะพิเศษและสามารถจำหน่ายได้ในราคาที่สูงขึ้น ขณะที่สื่อกลางแจ้งก็เริ่มมีการนำเทคโนโลยีสมัยใหม่เข้ามาสร้างความน่าสนใจเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะป้ายโฆษณาดิจิตอลในลักษณะอินเตอร์แอ็กทีฟที่เริ่มกระจายตัวจากกรุงเทพฯ ออกไปยังต่างจังหวัดมากขึ้น