ไทยออยล์แจงไตรมาส 3/58 ขาดทุน 2.29 พันล้านบาท เพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากช่วงเดียวกันของปีก่อน เหตุราคาน้ำมันปรับตัวลงทำให้ได้รับผลกระทบจากการขาดทุนสต๊อกน้ำมันและขาดทุนอัตราแลกเปลี่ยน ขณะที่กำไรขั้นต้นไม่รวมผลกระทบจากสต๊อกน้ำมันอยู่ที่ 7.8 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล ดีขึ้นกว่าปีก่อน 2.3 เหรียญสหรัฐ
นายอธิคม เติบศิริ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) (TOP) เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานในไตรมาส 3/2558 บริษัทฯ มีรายได้จากการขาย 74,721 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้จากการขาย 88,254 ล้านบาท และขาดทุนสุทธิ 2,294.29 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่ขาดทุนสุทธิ 2,234.15 ล้านบาท เป็นผลมาจากราคาน้ำมันที่ปรับตัวลดลงทำให้ได้รับผลกระทบจากสต๊อกน้ำมัน รวมทั้งขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยน
ส่วนงวด 9 เดือนแรกปีนี้ ไทยออยล์มีกำไรสุทธิ 8,432.28 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 2,304.13 ล้านบาท
นายอธิคมกล่าวต่อไปว่า ในไตรมาส 3/58 ไทยออยล์มีกำไรขั้นต้นจากการผลิตของกลุ่มไม่รวมผลกระทบจากสต๊อกน้ำมันเพิ่มขึ้น 2.3 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรลช่วงเดียวกันของปีก่อน รวมทั้งต้นทุนพลังงานที่ลดลง โดยภาวะราคาน้ำมันดิบที่ลดลงมากในปีนี้ ทำให้บริษัทฯ มีผลขาดทุนจากสต๊อกน้ำมันที่มากขึ้น 1,017 ล้านบาท และมีกำไรจากอนุพันธ์เพื่อประกันความเสี่ยงด้านราคาน้ำมันสุทธิลดลง 148 ล้านบาท ส่งผลให้มีกำไรก่อนหักดอกเบี้ย ค่าเสื่อมและภาษี (EBITDA) เพิ่มขึ้น 3,476 ล้านบาท
อย่างไรก็ดี ในไตรมาส 3/58 ไทยออยล์ต้องรับรู้ผลขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนเพิ่มขึ้น 3,129 ล้านบาท จากค่าเงินบาทที่อ่อนตัวลงถึง 4.01 บาทต่อเหรียญสหรัฐ จาก ณ สิ้นไตรมาส 3/57 ทำให้เกิดผลขาดทุนทางบัญชีจากการแปลงค่าของหุ้นกู้สกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ โดยหลังหักต้นทุนทางการเงินและค่าใช้จ่ายภาษีเงินได้แล้ว ไทยออยล์มีผลขาดทุนสุทธิเพิ่มขึ้น 60 ล้านบาท จากช่วงเดียวกันของปีก่อน
“โดยในไตรมาส 3 นี้บริษัทฯ มีปริมาณวัตถุดิบที่ป้อนเข้าสู่กระบวนการผลิตของกลุ่มอยู่ที่ 3.04 แสนบาร์เรลต่อวัน โดยมีกำไรขั้นต้นจากการผลิตของกลุ่มไม่รวมผลกระทบจากสต๊อกน้ำมัน (Marketing GIM) อยู่ที่ 7.8 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล จากการปรับลดลงของราคาน้ำมันดิบ ส่งผลให้บริษัทฯ มีผลขาดทุนจากสต๊อกน้ำมันอยู่ที่ 4.7 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ส่งผลให้กำไรขั้นต้นจากการผลิตของกลุ่มรวมผลกระทบจากสต๊อกน้ำมัน (Accounting GIM) อยู่ที่ 3.1 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ทำให้บริษัทมีกำไรก่อนหักดอกเบี้ย ค่าเสื่อมและภาษี (EBITDA) 2,931 ล้านบาท”