ผู้บริหาร เอ็นเนอร์ยี่ เอิร์ธ แจงเหตุงบติดลบเกิดจากการขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยน หากไม่มีผลขาดทุนดังกล่าว บริษัทฯ จะมีกำไรก่อนขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยน 272.47 ล้านบาท ชี้ผลกระทบแค่ระยะสั้น ขอให้ผู้ถือหุ้นเชื่อมั่นธุรกิจบริษัทฯ
นายธนาวรรธน์ ประทุมสุวรรณ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอ็นเนอร์ยี่ เอิร์ธ จำกัด (มหาชน) (EARTH) เปิดเผยถึงผลประกอบการไตรมาส 1/2560 สิ้นสุดวันที่ 31 มีนาคม 2560 ของบริษัท และบริษัทย่อยว่า มีรายได้จากการขาย จำนวน 7,860.13 ล้านบาท เทียบจากงวดเดียวกันของปีก่อนเท่ากับ 4,123.14 ล้านบาท คิดเป็นอัตราเพิ่มขึ้น 110.33% โดยมีสาเหตุมาจาก รายได้จากการขายในประเทศเพิ่มขึ้นอยู่ที่ 1,375.56 ล้านบาท จากงวดเดียวกันของปีก่อนเท่ากับ 758.09 ล้านบาท หรือคิดเป็น 122.77% เนื่องจากบริษัทฯ มีปริมาณการขายถ่านหินเพิ่มขึ้น 79.75%
อย่างไรก็ตาม จากการที่บริษัทฯ มีราคาขายถ่านหินเฉลี่ยเพิ่มขึ้นจากราคาตลาดถ่านหินที่ปรับตัวขึ้นเมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกับของปีก่อน โดยรายได้จากการขายต่างประเทศเพิ่มขึ้นเท่ากับ 6,484.57 ล้านบาท จากงวดเดียวกันของปีก่อนเท่ากับ 3,365.05 ล้านบาท หรือคิดเป็น 107.87% เนื่องจากปริมาณการขายในประเทศจีนปรับตัวเพิ่มขึ้น เนื่องจากบริษัทย่อยในประเทศจีน ที่สามารถขยายฐานลูกค้าได้เพิ่มขึ้น ขณะที่กำไรขั้นต้นเพิ่มขึ้นเท่ากับ 830.80 ล้านบาท จากงวดเดียวกันของปีก่อนเท่ากับ 347.53 ล้านบาท หรือคิดเป็นอัตราเพิ่มขึ้น 71.91% และมีอัตราส่วนกำไรขั้นต้นต่อยอดขายรวม คิดเป็น 10.57% ของยอดขาย
“ถึงแม้ไตรมาสแรกปีนี้บริษัทฯ จะมีรายได้เพิ่มขึ้นจากขีดความสามารถในการจัดจำหน่ายถ่านหินได้เพิ่มขึ้นทั้งจากตลาดภายในประเทศ และต่างประเทศ แต่กลับมีผลขาดทุนสุทธิ จำนวน 68.93 ล้านบาท เนื่องจากบริษัทฯ ได้รับผลขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนจำนวน 431.40 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจำนวน 291.15 ล้านบาท เปรียบเทียบจากช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งเป็นผลมาจากค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้น อย่างไรก็ตาม ถ้าหากบริษัทฯ ไม่มีผลขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยน บริษัทฯ ก็จะมีกำไรก่อนขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยน อยู่ที่ประมาณ 272.47 ล้านบาท โดยคาดว่าผลกระทบดังกล่าวจะเป็นเพียงช่วงระยะเวลาสั้นๆ ฉะนั้น ขอให้ผู้ถือหุ้นเชื่อมั่นในการดำเนินงานของบริษัท”
อย่างไรก็ตาม ทิศทางของธุรกิจในช่วงที่เหลือของปีนี้ เชื่อว่าจะขยายตัวได้ เนื่องจากบริษัทฯ สามารถบริหารต้นทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพ ขณะที่แนวโน้มความต้องการของถ่านหินเพิ่มสูงขึ้น ทำให้มีคำสั่งซื้อเข้ามาอย่างสม่ำเสมอจากลูกค้าจากประเทศไทย เกาหลีใต้ อินเดีย บังคลาเทศ ไต้หวัน และฮ่องกง ส่วนทิศทางราคาถ่านหินปีนี้เชื่อว่า น่าจะปรับตัวเพิ่มขึ้น 20% หรืออยู่ที่ประมาณ 55-60 ดอลลาร์สหรัฐต่อตัน ส่งผลให้กลุ่มบริษัทฯ ได้รับผลดี จึงทำให้มั่นใจว่าปีนี้ปริมาณการจัดจำหน่ายถ่านหินจะอยู่ที่ 15 ล้านตัน ส่วนรายได้จะเติบโตแบบก้าวกระโดดอยู่ที่ 30,000 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นไม่ต่ำกว่า 50 % จากปีก่อนมีรายได้เท่ากับ 18,000 ล้านบาท
นอกจากนี้ มีประเด็นที่สำคัญ คือ จากความต้องการใช้ถ่านหินมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นจากหลายปัจจัยประกอบด้วย ราคาน้ำมันที่เป็นต้นทุนถ่านหินปรับตัวขึ้น, ประเทศจีนซึ่งเป็นผู้นำเข้าถ่านหินอันดับ 1 ของโลกลดกำลังการผลิตในประเทศลง และหันมาทดแทนด้วยการนำเข้า รวมถึงนโยบายของประธานาธิบดีคนใหม่ของสหรัฐอเมริกา ทำให้กลุ่มบริษัทฯ ได้รับอานิสงส์ และมีผลต่อการเติบโตในอนาคต โดยปีนี้ถือเป็นปีแห่งการก้าวเข้าสู่โหมดของการกลับมามีกำไรของกลุ่มบริษัทฯ