ASTVผู้จัดการ - แป้งหอม “ศรีจันทร์” โชว์ผลงานหลังรีแบรนด์ทำรายได้ 400 ล้านบาท เดินหน้าพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่สำหรับผู้ชาย 15 ต.ค. 58 ก่อนบุกตลาดแป้งอัดแข็งปี 59 พร้อมทำตลาดจีน อินเดีย อินโดฯ หวังสัดส่วนส่งออก 25%
นายรวิศ หาญอุตสาหะ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ศรีจันทร์สหโอสถ จำกัด ผู้ผลิตและจำหน่ายแป้งหอม “ศรีจันทร์” เปิดเผยว่า หลังจากที่บริษัทฯ รีแบรนด์และปรับปรุงแพกเกจจิ้งใหม่ด้วยงบประมาณมากกว่า 100 ล้านบาท ส่งผลให้ในปี 2557 สามารถทำรายได้มากกว่า 200 ล้านบาท และคาดว่าจะสามารถทำรายได้ถึง 400 ล้านบาทในปี 2558 จากเดิมที่ตั้งเป้าไว้ประมาณ 500 ล้านบาท เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจยังไม่ฟื้นตัวดีนัก แต่มั่นใจว่าในปี 2559 จะสามารถทำรายได้ไม่ต่ำกว่า 500 ล้านบาท
สำหรับผลิตภัณฑ์ “ศรีจันทร์” มีทั้งสิ้น 5 เอสเคยู ด้วยกำลังการผลิต 5 ล้านชิ้นต่อปี โดยมีรายได้หลักจากการจำหน่ายภายในประเทศ แต่ขณะนี้กำลังเริ่มศึกษาการทำตลาดส่งออกไปยังประเทศที่มีขนาดพื้นที่และจำนวนประชากรมาก เช่น จีน อินเดีย และอินโดนีเซีย โดยจะร่วมมือกับพันธมิตรท้องถิ่นในประเทศนั้นๆ เนื่องจากผลิตภัณฑ์ของบริษัทฯ มีจุดเด่นในเรื่องของคุณภาพและราคาที่ไม่สูงมากนักทำให้มีโอกาสเข้าถึงผู้บริโภคได้ง่าย
ปัจจุบันบริษัทฯ เริ่มมีการทำตลาดนักท่องเที่ยวจีนด้วยการนำเสนอผลิตภัณฑ์ตามสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ ในประเทศไทยแล้ว พร้อมกับกำลังเริ่มเจรจาในการนำเสนอผลิตภัณฑ์เพื่อจำหน่ายในร้านปลอดภาษี “คิง เพาเวอร์” เพื่อแนะนำผลิตภัณฑ์ให้ชาวต่างชาติรู้จักมากขึ้น จากปัจจุบันที่มีจำหน่ายในร้านวัตสัน, บู๊ทส์, เซเว่นอีเลฟเว่น และร้านจำหน่ายเครื่องสำอาง และห้างสรรพสินค้าชั้นนำในสัดส่วน 80% และร้านค้าทั่วไป 20% โดยคาดว่าหลังจากเริ่มทำตลาดส่งออกอย่างจริงจังในปี 2559 แล้วจะสามารถทำสัดส่วนรายได้ถึง 25%
“หลังจากที่บริษัทฯ เริ่มรีแบรนด์อย่างจริงจังทำให้ในช่วง 2 ปีหลังเริ่มมีการใช้งบฯ การตลาดมากขึ้นประมาณปีละ 50 ล้านบาท เพื่อโฆษณาและประชาสัมพันธ์ผ่านสื่อหลักและสื่อออนไลน์ โดยในวันที่ 15 ต.ค. 58 จะมีการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่คือ แป้งศรีจันทร์ FOR MEN พร้อมจะเริ่มออกแคมเปญไวรัลมาร์เกตติ้งในช่วงปลายเดือน ต.ค. 58 เพื่อกระตุ้นยอดขาย หลังจากนั้นในปี 2559 จะเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่อีก 1 ชนิด คือ แป้งอัดแข็ง เพื่อเสริมความแข็งแกร่งในการดำเนินธุรกิจ โดยมีเป้าหมายจะเข้าตลาดหลักทรัพย์ฯ ในปี 2563 พร้อมทำรายได้ถึง 1 พันล้านบาท ในปี 2563” นายรวิศกล่าวในตอนท้าย
