ทอท.ปลื้มผู้โดยสารและเที่ยวบินเติบโตกระฉูด ดอนเมืองทะยานขึ้นที่ 1 สนามบินโลว์คอสต์ เล็งเพิ่มหลุมจอดที่ดอนเมืองอีก 20-30 หลุมจอด เร่งตัดสินใจลงทุนระหว่าง ตั้ง “อินฟราฯ ฟันด์” หรือระดมทุนตรงจากสายการบิน ด้าน “นิตินัย ”คาดปี 59 รายได้โตไม่ต่ำกว่า 15-18% เผยปัจจัยหนุนเปิด AEC และดอนเมือง-ภูเก็ตเปิดใช้อาคารเพิ่ม เผยอีก 5 ปี ผู้โดยสารวม 6 สนามบินแตะ 165 ล้านคนต่อปี
นายนิตินัย ศิริสมรรถการ ผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ ทอท. เปิดเผยว่า จากการเติบโตของจำนวนผู้โดยสารและเที่ยวบินที่สูงในช่วงที่ผ่านมาซึ่งปัจจุบันจำนวนผู้โดยสารรวม 6 สนามบินที่อยู่ในความรับผิดชอบของ ทอท.อยู่ที่ 81 ล้านคนต่อปี และคาดว่าในอีก 5 ปีข้างหน้าจะมีผู้โดยสารเพิ่มอีก 83 ล้านคนต่อปี รวมเป็น 165 ล้านคนต่อปี ทำให้ ทอท.จะต้องเตรียมแผนในการขยายขีดความสามารถในการรองรับและนำระบบไอทีเข้ามาใช้ในการบริหารจัดการให้มากขึ้น โดยเฉพาะสนามบินดอนเมืองนั้น เป็นสนามบินรองรับสายการบินต้นทุนต่ำ (Low Cost Carriers : LCCs) อันดับ 1 ของโลกที่มีปริมาณผู้โดยสารสูงสุดที่ 22.5 ล้านคนต่อปี แซงหน้าสนามบินกัวลาลัมเปอร์ของมาเลเซีย โดยมีอัตราการเติบโตของผู้โดยสารในสูงมากเฉลี่ยปีละกว่า 50% ทุกปี เที่ยวบินเติบโตเฉลี่ย 30% ต่อปี
โดยขณะนี้ ทอท.อยู่ระหว่างการทบทวนแผนแม่บท (Master Plan) การพัฒนาสนามบินสุวรรณภูมิควบคู่กับการพัฒนาสนามบินดอนเมือง หรือ Duo Airport โดยจะแล้วเสร็จในเดือนธ.ค. 2559 ซึ่งจะทำให้การพัฒนามีความชัดเจนมากขึ้น โดยมีเป้าหมายของทอท.คือการเป็นศูนย์กลางการบินในภูมิภาค ทั้งนี้ ยอมรับว่ามีความจำเป็นต้องเร่งรัดการพัฒนาสนามบินดอนเมืองระยะที่ 3 โดยประมาณการณ์วงเงินลงทุนรวมเบื้องต้นที่ 5,000-7,000 ล้านบาท ซึ่งจะเร่งในส่วนของการปรับปรุงอาคารผู้โดยสารภายในประเทศซึ่งจะเพิ่มขีดความสามารถรองรับผู้โดยสารอีกประมาณ 10 ล้านคนต่อปี รวมกับระยะ 1 ที่ 12.5 ล้านคนต่อปี และระยะ 2 ที่ 30 ล้านคนต่อปี เป็น 40 ล้านคนต่อปี ในขณะที่การพัฒนาระยะ 3 ในส่วนของศูนย์ซ่อมอากาศยาน คลังสินค้าและการขนส่งสินค้าประเภทเน่าเสียง่าย (Perishable goods) นั้นจะต้องมีการศึกษาด้านการตลาดอย่างรอบคอบ การพัฒนายังสามารถแบ่งเป็นช่วงที่ 2 ได้
นายนิตินัยกล่าวถึงผลประกอบการ ทอท.ในช่วง 9 เดือนปี 2558 ที่ผ่านมา มีกำไรกว่า 13,800 ล้านบาท ซึ่งเท่ากับกำไรของทั้งปี 2557 ที่ผ่านมา ส่วนทั้งปี 2558 นั้นจะต้องพิจารณาช่วงไตรมาส 4/58 (ก.ค.-ก.ย.) ที่เป็น low season ดังนั้น รายได้จะเพิ่มอีกไม่มากเท่าไร ส่วนปี 2559 นั้น หากไม่มีสถานการณ์ใดๆ คาดว่าผู้โดยสารและเที่ยวบินจะเติบโตไม่ต่ำกว่าปี 2558 คือ เฉลี่ยผู้โดยสารเติบโต 22% เที่ยวบินเติบโต 16% รายได้เติบโตประมาณ 15-18% โดยมีปัจจัยบวกในการเปิด AEC การเปิดใช้อาคารผู้โดยสารหลังที่ 2 ของดอนเมืองในช่วงปลายเดือน พ.ย. 2558 และเปิดใช้อาคารผู้โดยสารที่สนามบินภูเก็ตในเดือน พ.ค. 2559
“กรณีเลื่อนเปิดอาคาร 2 ของดอนเมืองจาก 1 ต.ค.ไปเป็น ปลาย พ.ย. 58 นั้นคาดว่าจะไม่กระทบต่อการให้บริการมากนัก แต่ปัญหาสำคัญคือ จำนวนหลุมจอดดอนเมืองไม่เพียงพอ ซึ่งแนวทางการขยายหลุดจอดเพิ่มซึ่งมีพื้นที่ทางด้านเหนือขยายได้ 20-30 หลุมจอด และกำลังศึกษาแนวทางการลงทุนที่เหมาะสม เนื่องจาก ทอท.มีปัญหาในการจัดทำแผนลงทุนที่ต้องทำล่วงหน้า 2 ปีและมีขั้นตอนของรัฐวิสาหกิจ ซึ่งอาจล่าช้าไป ดังนั้นจึงจะพิจารณา 2 แนวทาง คือ 1. การจัดตั้งกองทุนอินฟราสตรักเจอร์ดำเนินการ ซึ่งมีประเด็นพิจารณาในเรื่องค่าลงทุนก่อสร้างไม่ถึง 1,000 ล้านบาทอาจจะต้องรวมการก่อสร้างหลุมจอดในสนามบินอื่นๆ ของ ทอท.เข้ามาในกองทุนด้วย หรือ 2. เจรจากับสายการบินที่สนใจร่วมลงทุนเพื่อเป็นเจ้าของเป็นการจ่ายค่าใช้ล่วงหน้า กรณีนี้จะต้องระวังเรื่องการเอื้อประโยชน์ ซึ่งจะศึกษาข้อดีข้อเสีย และสรุปใน 1-2 เดือนนี้เพื่อเสนอที่ประชุมคณะกรรมการ (บอร์ด) ทอท.พิจารณาต่อไป” นายนิตินัยกล่าว
อย่างไรก็ตาม วันนี้ (15 ก.ย.) ทอท.จึงได้ร่วมกับบริษัท CAPA Centre for Aviation (CAPA) จัดงาน The LCC Airports Congress Asia, Bangkok 2015 ขึ้นเป็นครั้งแรกในเอเชียเพื่อรับฟังความเห็นจากสายการบินต้นทุนต่ำและสายการบินต่างๆ และพูดคุยถึงความท้าทายของโครงสร้างพื้นฐานในอุตสาหกรรมการบินในอาเซียน, การเปิดเสรีน่านฟ้าของอาเซียน, ปัจจัยที่สำคัญของการบริหารจัดการท่าอากาศยานให้ประสบความสำเร็จในการดึงดูดสายการบินต้นทุนต่ำ, การนำเทคโนโลยีและการให้บริการของท่าอากาศยานที่จะเพิ่มปริมาณผู้โดยสารที่มาใช้บริการท่าอากาศยาน และ บทเรียนสำหรับผู้ดำเนินธุรกิจในอุตสาหกรรมการบินที่ได้จากความสำเร็จและผิดพลาดของสายการบินต้นทุนต่ำจากภูมิภาคอื่นเพื่อการพัฒนาให้บริการที่มีคุณภาพสูงสุด และเติบโตของรายได้ที่ยั่งยืน