บลจ.วรรณได้ฤกษ์ขายกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ ไทยแลนด์ โฮสพีทาลิตี้ (TLHPF) ลุยลงทุนในโรงแรมพี พี ฮอลิเดย์ อินน์ รีสอร์ท ชูจ่ายปันผลเฉลี่ย 7-8% ต่อปี ไอพีโอระหว่างวันที่ 9-27 ตุลาคมนี้
นายวิน อุดมรัชตวนิชย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวม วรรณ จำกัด ในช่วงแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยโลกและอัตราดอกเบี้ยภายในประเทศที่อยู่ในระดับต่ำ การแบ่งสัดส่วนการลงทุนเพื่อลงทุนในกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์จะเป็นอีกทางเลือกหนึ่ง เนื่องจากกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ของอุตสาหกรรมให้ผลตอบแทนเฉลี่ยประมาณ 6% ต่อปี ในขณะที่ผลตอบแทนของพันธบัตรรัฐบาลอายุ 10 ปี ให้ผลตอบแทนเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 2.72% ต่อปี
อย่างไรก็ดี บริษัทมองว่าอสังหาริมทรัพย์ภาคการท่องเที่ยวและการโรงแรมมีแนวโน้มการเติบโตที่ดี โดยสัดส่วนตัวเลขนักท่องเที่ยว ณ สิ้นเดือนสิงหาคม 2558 ที่ผ่านมามีสัดส่วนอยู่ที่ประมาณ 69% ซึ่งเป็นสัดส่วนที่ใกล้เคียงกับช่วงฤดูกาลท่องเที่ยวของประเทศไทยในช่วงเดือนเมษายนที่ผ่านมาที่อยู่ที่ประมาณ 70% แม้ว่าจะมีเหตุการณ์ไม่สงบเกิดขึ้นในช่วงเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา แต่จะเห็นได้ว่ายังมีปริมาณนักท่องเที่ยวเข้ามาในประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง
นอกจากนี้ การขยายให้บริการในส่วนของธุรกิจสายการบินต้นทุนต่ำที่เพิ่มขึ้น และราคาน้ำมันในขณะนี้ที่ยังคงอยู่ในระดับต่ำจะเป็นปัจจัยบวกที่ช่วยสนับสนุนภาคการท่องเที่ยวของไทย โดยระหว่างวันที่ 9-27 ตุลาคมนี้บริษัทจะเปิดเสนอขายครั้งแรกกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ไทยแลนด์ โฮสพีทาลิตี้ (TLHPF) มูลค่ากองทุน 1,720 ล้านบาท เพื่อลงทุนในกรรมสิทธิ์ (Freehold) ในสินทรัพย์ของโครงการโรงแรม พี พี ฮอลิเดย์ อินน์ รีสอร์ท และจะนำหลักทรัพย์เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยในช่วงปลายเดือนพฤศจิกายนนี้
“เราได้ยื่นขอจัดตั้งกองทุน TLHPF ตั้งแต่เดือน พ.ย.ปีที่แล้ว ซึ่งเราแพลนที่จะขายไอพีโอในช่วงนั้น แต่ด้วยปัจจัยเรื่องของผลตอบแทนของพันธบัตรรัฐบาลอายุ 10 ปี ให้ผลตอบแทนเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 3.8% ต่อปี ซึ่งเรามองว่าผลตอบแทนที่ได้จากการลงทุนยังไม่น่าสนใจพอ ขณะเดียวกัน ช่วงเดือนพฤศจิกายน-เมษายน ของปีที่แล้วมีกระแสเรื่องการบุกรุกอุทยาน แม้ว่าสินทรัพย์ที่เราไปลงทุนไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้อง แต่ด้วยบรรยากาศและสถานการณ์เหล่านั้นทำให้เราชะลอการเปิดขายไอพีโอออกไปก่อนเพื่อไม่ให้กระทบต่อความมั่นใจต่อนักลงทุน”
นายอลงกรณ์ ประธานราษฎร์นิกร ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บลจ.วรรณ กล่าวว่า จุดเด่นของสินทรัพย์ที่เข้าลงทุนในโรงแรม พี พี ฮอลิเดย์ อินน์ รีสอร์ท ซึ่งเป็นโครงการที่ตั้งอยู่บนเกาะพีพี และเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่ได้รับความนิยม บนเนื้อที่กว่า 31 ไร่ ติดชายหาด ซึ่งอัตราค่าเช่าห้องพักของโรงแรมอยู่ในระดับสูง โดยผลการดำเนินงานของโรงแรมในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา ตั้งแต่ปี 2553-2557 มีการเติบโตของกำไรขั้นต้นก่อนการหักภาษี (EBITDA Margin) อย่างต่อเนื่อง จากในปี 2553 EBITDA Margin อยู่ที่ 31.6% และในช่วง 6 เดือนแรกของปีนี้ EBITDA Margin มีการเติบโตอยู่ที่ประมาณ 44.9% ซึ่งรายได้ส่วนใหญ่จะมาจากห้องพักเฉลี่ยประมาณ 66% ค่าบริการอาหารและเครื่องดื่มเฉลี่ยประมาณ 25% และรายได้อื่นๆ ประมาณ 9% โดยตลอด 5 ปีที่ผ่านมาโรงแรม พี พี ฮอลิเดย์ อินน์ รีสอร์ท มีอัตราเข้าพักเฉลี่ยสูงกว่า 80%
นอกจากนี้ กองทุน TLHPF จะให้สิทธิแก่บริษัท พี พี ฮอลิเดย์ จำกัด เป็นผู้เช่า โดยมี Inter-Continental Hotel Group หรือ IHG ภายใต้แบรนด์ Holiday Inn Resort เป็นผู้บริหารโครงการ ทั้งนี้ มีระยะเวลาการให้เช่ารวม 15 ปี โดยแบ่งเป็นสัญญาเช่า 3 ปี และจะต่ออายุสัญญาทุก 3 ปี จำนวน 4 ครั้ง ในส่วนของรายได้ของกองทุน TLHPF จะมาจากค่าเช่าคงที่ภายใต้สัญญาเช่าระหว่างกองทุนกับผู้เช่าแต่เพียงอย่างเดียว และกองทุนมีนโยบายการจ่ายปันผลอย่างน้อย 90% ของกำไรสุทธิที่ปรับปรุงแล้ว อย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง ซึ่งบริษัทจัดการมีความตั้งใจที่จะจ่ายเงินปันผล 2 ครั้งต่อปี
โดยกองทุน TLHPF ได้ประมาณการเงินปันผลที่จ่ายในอัตรา 95% ของกำไรสุทธิ โดยมีอัตราผลตอบแทนอยู่ประมาณ 7-8% ต่อปี ตลอดอายุสัญญาค่าเช่าคงที่ 15 ปี
ด้านนายฟ้าประทาน จิตตรัตน์เสนีย์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท พีพี ฮอลิเดย์ จำกัด กล่าวเสริมว่า จากการส่งเสริมการท่องเที่ยวตามนโยบายของทางรัฐบาล ทำให้แนวโน้มจำนวนนักท่องเที่ยวเพิ่มสูงขึ้น โดยสถิติที่ผ่านมากลุ่มนักท่องเที่ยวได้เลือกที่จะมาท่องเที่ยวภาคใต้มากขึ้น โดยเฉพาะฝั่งทะเลอันดามัน ดังนั้น ในช่วง High season ที่จะถึงนี้ทางผู้บริหารโรงแรมต่างๆ คาดว่าจะได้รับการตอบรับที่ดีเช่นกัน และโรงแรมส่วนใหญ่ในจังหวัดภูเก็ต และกระบี่ รวมถึงโรงแรมบนเกาะพีพี ได้มียอดการจองเพิ่มขึ้นจากเดิมหากเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา
นอกจากนี้ เกาะพีพีนับได้ว่าเป็นแหล่งท่องเที่ยวของนักท่องเที่ยวที่ชื่นชอบความสงบของธรรมชาติจนได้รับสมญานามว่าอัญมณีแห่งอันดามัน และในช่วง 3-4 ปีที่ผ่านมา เกาะพีพีได้รับการตอบรับอย่างดีจากนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศ อีกทั้งโรงแรมบนเกาะพีพีที่เป็นโรงแรมมาตรฐานในระดับสากล (Chain International) ก็มีอยู่อย่างจำกัด ผนวกกับในปัจจุบันปริมาณนักท่องเที่ยวที่เข้ามาในเกาะพีพีมีมากขึ้น ดูได้จากรูปแบบการท่องเที่ยว ไม่ว่าจะเป็นการเที่ยวแบบ Day trip ที่นำนักท่องเที่ยวให้มาดำน้ำดูปะการัง และชื่นชมความสวยงามของโลกใต้ท้องทะเลเกาะพีพี ดังนั้น หากมองธุรกิจบนเกาะพีพีในเชิงการท่องเที่ยวแล้ว บริษัทคาดว่าธุรกิจโรงแรมนับเป็นอีกหนึ่งธุรกิจที่มีความเจริญเติบโตแบบก้าวกระโดด เพราะไม่ว่าจะเป็นช่วง Low Season หรือ High Season เกาะพีพีแห่งนี้ยังคงได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่อง