xs
xsm
sm
md
lg

กสิกรไทยจ่ายปันผล 4 กองอสังหาฯ

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online


บลจ.กสิกรไทยจ่ายปันผลกองทุนรวมอสังหาฯ 4 กองทุน รวมกว่า 158 ล้านบาท มองกองทุนอสังหาฯ เป็นสินทรัพย์ทางเลือกที่ให้ผลตอบแทนสม่ำเสมอในช่วงตลาดหุ้นผันผวน

นายพงศ์พิเชษฐ์ นานานุกูล กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) กสิกรไทย จำกัด เปิดเผยว่า บลจ.กสิกรไทยเตรียมจ่ายเงินปันผลกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ จำนวน 4 กองทุน ประกอบด้วย กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์เคพีเอ็น (KPNPF) ในอัตรา 0.1400 บาทต่อหน่วย สำหรับผลการดำเนินงานตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2558-30 มิถุนายน 2558 กองทุนรวมสิทธิการเช่าอสังหาริมทรัพย์เมเจอร์ซีนีเพล็กซ์ ไลฟ์สไตล์ (MJLF) ในอัตรา 0.2500 บาทต่อหน่วย สำหรับผลการดำเนินงานตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2558-30 มิถุนายน 2558 กองทุนรวมสิทธิการเช่าอสังหาริมทรัพย์โกลด์ (GOLDPF) ในอัตรา 0.1620 บาทต่อหน่วย สำหรับผลการดำเนินงานตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2558-30 มิถุนายน 2558 และกองทุนรวมสิทธิการเช่าอสังหาริมทรัพย์โรงแรมและรีสอร์ตในเครือเซ็นทารา (CTARAF) ในอัตรา 0.0550 บาทต่อหน่วย สำหรับผลการดำเนินงานตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2558-30 มิถุนายน 2558 โดยทั้ง 4 กองทุนดังกล่าวจะจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหน่วยลงทุนที่มีรายชื่ออยู่ในสมุดทะเบียน ณ เวลา 08.00 น. ของวันที่ 4 กันยายน 2558 และมีกำหนดจ่ายเงินปันผลดังกล่าวพร้อมกันในวันที่ 18 กันยายน 2558 นี้ รวมมูลค่าเงินปันผลทั้งสิ้นกว่า 158 ล้านบาท

โดยกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์เคพีเอ็น (KPNPF) มีนโยบายลงทุนในกรรมสิทธิ์ที่ดิน อาคารสำนักงาน และระบบสาธารณูปโภคของอาคารเคพีเอ็น ทาวเวอร์ บนถนนพระราม 9 ซึ่งปัจจุบันมีอัตราการเช่าพื้นที่ประมาณ 82% โดยผลการดำเนินงานในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2558 ที่ผ่านมาจัดว่าอยู่ในเกณฑ์ที่น่าพอใจ และสามารถสร้างรายได้อย่างสม่ำเสมอจากค่าเช่าพื้นที่และบริการต่างๆ ภายในโครงการ ทำให้ในรอบผลดำเนินงานดังกล่าวกองทุนสามารถทำกำไรสุทธิได้ 55.88 ล้านบาท ซึ่งตั้งแต่จัดตั้งกองทุนมามีการจ่ายปันผลแล้วรวม 9 ครั้ง รวมเป็นมูลค่าทั้งสิ้น 1.3730 บาทต่อหน่วย หรือคิดเป็นอัตราการจ่ายปันผลเฉลี่ยตั้งแต่จัดตั้งกองทุนที่ 6.29% ต่อปี

ด้านกองทุนรวมสิทธิการเช่าอสังหาริมทรัพย์เมเจอร์ซีนีเพล็กซ์ไลฟ์สไตล์ (MJLF) มีนโยบายลงทุนในสิทธิการเช่าอาคารโครงการเมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ รังสิต, เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ รัชโยธิน และซูซูกิ อเวนิว รัชโยธิน ปัจจุบันมีอัตราการเช่าพื้นที่อยู่ประมาณ 97% ของพื้นที่เช่าทั้งหมด และภาพรวมตลอดครึ่งปี 2558 ที่ผ่านมา โครงการทั้ง 3 แห่งยังมีอัตราการเช่าเกือบเต็มตลอดในทุกไตรมาส ส่วนผลการดำเนินงานในครึ่งปี 2558 ที่ผ่านมาจัดว่าอยู่ในเกณฑ์ที่น่าพอใจ โดยกองทุนสามารถทำกำไรสุทธิได้ 181.48 ล้านบาท ทั้งนี้ ตั้งแต่จัดตั้งกองทุนมามีการจ่ายปันผลแล้วรวม 32 ครั้ง รวมเป็นมูลค่าทั้งสิ้น 7.6130 บาทต่อหน่วย หรือคิดเป็นอัตราการจ่ายปันผลเฉลี่ยตั้งแต่จัดตั้งกองทุนที่ 9.54% ต่อปี

ส่วนกองทุนรวมสิทธิการเช่าอสังหาริมทรัพย์โกลด์ (GOLDPF) มีนโยบายลงทุนในสิทธิการเช่าที่ดินและอาคารเซอร์วิสอพาร์ตเมนต์ขนาด 162 ห้องของโครงการเดอะ เมย์แฟร์แมริออท เอ็กเซคคิวทีฟ อพาร์ทเม้นท์ ซอยหลังสวน ถนนเพลินจิต ปัจจุบันมีอัตราการเข้าพักเฉลี่ยประมาณ 85% โดยผลการดำเนินงานในครึ่งปี 2558 ที่ผ่านมา กองทุนสามารถทำกำไรสุทธิได้ 36.98 ล้านบาท ทั้งนี้ ตั้งแต่จัดตั้งกองทุนมามีการจ่ายปันผลแล้วรวม 15 ครั้ง รวมเป็นมูลค่าทั้งสิ้น 4.3495 บาทต่อหน่วย หรือคิดเป็นอัตราการจ่ายปันผลเฉลี่ยตั้งแต่จัดตั้งกองทุนที่ 5.52% ต่อปี

ขณะที่กองทุนรวมสิทธิการเช่าอสังหาริมทรัพย์โรงแรมและรีสอร์ตในเครือเซ็นทารา (CTARAF) มีนโยบายลงทุนในสิทธิการเช่าที่ดินและอาคาร รวมถึงระบบสาธารณูปโภคของโรงแรมเซ็นทาราแกรนด์บีชรีสอร์ทสมุย โรงแรมระดับ 5 ดาว ซึ่งตั้งอยู่บนเนื้อที่ 25 ไร่ บนหาดเฉวง เกาะสมุย จังหวัดสุราษฎร์ธานี ปัจจุบันมีอัตราการเข้าพักเฉลี่ยที่ 88% และมีผลการดำเนินงานในรอบครึ่งปีแรกของปี 2558 อยู่ในเกณฑ์ที่น่าพอใจ โดยกองทุนสามารถทำกำไรสุทธิได้ 110.92 ล้านบาท ทั้งนี้ ตั้งแต่จัดตั้งกองทุนมามีการจ่ายปันผลแล้วรวม 24 ครั้ง รวมเป็นมูลค่าทั้งสิ้น 4.3622 บาทต่อหน่วย หรือคิดเป็นอัตราการจ่ายปันผลเฉลี่ยตั้งแต่จัดตั้งกองทุนที่ 6.92% ต่อปี

“ในภาวะเศรษฐกิจปัจจุบันและสถานการณ์ตลาดหุ้นที่มีความผันผวนค่อนข้างสูง กองทุนอสังหาริมทรัพย์นับว่าเป็นทางเลือกของการลงทุนรูปแบบหนึ่งที่น่าสนใจ และเป็นสินทรัพย์ที่ผู้ลงทุนควรจะมีไว้อยู่ในพอร์ตโฟลิโอ เพราะมีแนวโน้มที่จะให้ผลตอบแทนสม่ำเสมอในรูปแบบของเงินปันผล เนื่องจากกองทุนอสังหาริมทรัพย์ส่วนใหญ่เป็นการลงทุนในสินทรัพย์ที่มีรายได้ที่แน่นอน โดยเฉพาะรายได้หลักที่มาจากค่าเช่า ดังนั้น แม้ในภาวะที่ตลาดหุ้นมีความผันผวนหรือช่วงที่ราคาหุ้นปรับตัวลดลงอันเกิดจากการซื้อขายในตลาด กองทุนก็ยังมีความสามารถในการสร้างรายได้อย่างต่อเนื่อง โดยที่ปัจจัยพื้นฐานของกิจการไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลง นอกจากนี้ การที่ราคาหุ้นในตลาดที่ปรับตัวลดลงยังมองว่าเป็นโอกาสที่ผู้ลงทุนจะสามารถเข้าไปลงทุนด้วยราคาที่ถูกลง และมองโอกาสในการรับผลตอบแทนจากกำไรในระยะยาวได้”


กำลังโหลดความคิดเห็น