“น้ำตาลครบุรี” ปรับลดเป้ารายได้ลงเหลือใกล้เคียงปีก่อนที่ 6.3 พันล้านบาท และหั่นกำไรปีนี้ต่ำกว่าปีที่แล้ว หลังราคาน้ำตาลโลกร่วง และมาร์จินผลิตน้ำตาลทรายขาวลด มั่นใจปีหน้าฟื้นตัวหลังส่วนขยายกำลังการผลิตน้ำตาลแล้วเสร็จ ทำให้มีอ้อยเข้าหีบเพิ่ม เผยเตรียมผุดโรงไฟฟ้าใหม่อีก 30 เมกะวัตต์ รอดูนโยบายรับซื้อไฟจากภาครัฐ
นายทัศน์ วนากรกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท น้ำตาลครบุรี จำกัด (มหาชน) (KBS) เปิดเผยว่า บริษัทปรับลดเป้าหมายรายได้และกำไรสุทธิในปีนี้ลงจากเดิมที่คาดว่าจะโตเพิ่มขึ้น 5% จากปีก่อน โดยในปีนี้คาดว่าบริษัทฯ มีรายได้ลดลงมาใกล้เคียงปีก่อนที่ 6.3 พันล้านบาท และกำไรสุทธิลดลงกว่าปีที่แล้วที่มีกำไรสุทธิ 318 ล้านบาท เนื่องจากราคาน้ำตาลในตลาดโลกปรับตัวลดลงจากปีก่อนเฉลี่ย 17 เซ็นต์/ปอนด์ ลงมาเหลือเพียง 11 เซ็นต์/ปอนด์ เป็นผลค่าเงินเรียลของบราซิลได้อ่อนค่าลงมากทำสถิติต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ ซึ่งจะเป็นตัวกดดันให้ราคาน้ำตาลโลกให้ทรงตัวในระดับต่ำ รวมถึงผลตอบแทนของการผลิตน้ำตาลทรายขาวที่ลดลงด้วย
ขณะเดียวกัน ในปีนี้บริษัทฯ รับรู้รายได้จากโรงไฟฟ้าประสิทธิภาพสูง High-pressure boiler ขนาด 35 เมกะวัตต์ประมาณ 550 ล้านบาทต่อปี คาดว่าจะมีกำไรเข้ามา 150 ล้านบาท และรายได้จะเพิ่มขึ้นอีก 5% ในปีถัดไป เนื่องจากโรงไฟฟ้าเดินเครื่องจักรมีเสถียรภาพมากขึ้น
“แนวโน้มผลประกอบการในช่วงครึ่งปีหลังของปี 58 บริษัทฯ ยังส่งมอบน้ำตาลประมาณ 1.7 แสนตัน ราคาเฉลี่ยมีแนวโน้มดีขึ้นกว่าไตรมาส 2/58 แต่ยังไม่สามารถประเมินทิศทางของราคาดังกล่าวได้ หากราคาน้ำตาลโลกปรับตัวลดลงกว่านี้ เชื่อว่าบริษัทก็อยู่ได้ แม้ว่าราคาน้ำตาลโลกอ่อนตัวลง แต่เกษตรกรคงไม่เปลี่ยนไปปลูกพืชชนิดอื่นๆ เนื่องจากในช่วง 2 ปีนี้เกิดภัยแล้ง ภาครัฐสนับสนุนให้เกษตรกรลดพื้นที่ปลูกข้าวลง จึงหันมาปลูกอ้อยที่ใช้น้ำน้อยกว่า”
ทั้งนี้ ในปีหน้าบริษัทฯ ตั้งเป้าหมายมีปริมาณอ้อยเข้าหีบเพิ่มขึ้นเป็น 2.8 ล้านตันเพิ่มขึ้นจากปีนี้ที่หีบอ้อยอยู่ 2.28 ล้านตัน เนื่องจากโครงการขยายกำลังการผลิตโรงงานน้ำตาลอีก 1.2 หมื่นตันอ้อย/วันแล้วเสร็จในเดือนธันวาคมนี้ เพิ่มขึ้นจากเดิม 50% มีผลให้ Yield น้ำตาลดีขึ้นช่วยลดปัญหาการติดคิวอ้อยของชาวไร่และยังช่วยการขยายพื้นที่ปลูกอ้อยในระยะยาว ทำให้ปี 2559 บริษัทจะมีผลประกอบการฟื้นตัวดีขึ้นได้ จากผลตอบแทนการผลิตน้ำตาลทรายขาวมีแนวโน้มดีขึ้น และเงินบาทปรับตัวลดลง อีกทั้งการขยายกำลังการผลิตจะสามารถเดินเครื่องได้ในช่วงปลายปีนี้
นายทัศน์กล่าวถึงโครงการก่อสร้างโรงงานผลิตเอทานอล ขนาด 2 แสนลิตร/วัน เงินลงทุน 1.2 พันล้านบาทว่า โครงการดังกล่าวอยู่ในชั้นตอนการศึกษาผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม (อีไอเอ) คาดว่าจะสร้างโรงงานแล้วเสร็จในปี 2560 ช้ากว่าแผนเดิมที่วางไว้ว่าจะแล้วเสร็จในปี 2559 เป็นมาจากการทำอีไอเอใช้เวลานานกว่าที่คาดการณ์ไว้
นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังอยู่ระหว่างศึกษาความเป็นไปได้ในการตั้งโรงไฟฟ้าเพิ่มเติมอีก 30 เมกะวัตต์ แต่ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับนโยบายรัฐในการเปิดรับซื้อไฟฟ้าด้วย อาทิ การเปิดรับซื้อไฟฟ้าแบบ Feed in Tariff (FiT) และระบบสายส่งที่จะรองรับการซื้อไฟในพื้นที่ต่างๆ ด้วย อาจจะเป็นการขายไฟแบบ VSPP 9 เมกะวัตต์ หรือขายไฟฟ้า SPP แบบ Firm 22 เมกะวัตต์เหมือนกับสัญญาขายไฟโรงแรกที่จ่ายไฟไปแล้วเมื่อต้นปีนี้
“ที่ผ่านมารัฐได้เลื่อนการเปิดประมูลรับซื้อไฟฟ้าในอัตรารับซื้อไฟฟ้ารูปแบบ FiT จากกลุ่มพลังงานหมุนเวียนทั้งชีวมวล และก๊าซชีวภาพออกไปคาดว่าคงจะประกาศให้ยื่นได้ในปีหน้า”
นายทัศน์กล่าวว่า บริษัทฯ ยังได้ริเริ่มโครงการก่อสร้างไซโลปรับความชื้นน้ำตาล หรือ Conditioning Silo ที่จะใช้งบลงทุนราว 376 ล้านบาท โครงการนี้จะเป็นการช่วยลดความชื้นในน้ำตาลก่อนส่งมอบสินค้า รวมถึงการปรับปรุงอาคารบรรจุน้ำตาลสมัยใหม่ซึ่งรองรับการผลิตน้ำตาล 1.5 พันตันต่อวัน โครงการนี้จะช่วยยกระดับคุณภาพน้ำตาล โดยเฉพาะน้ำตาลที่ส่งออกต่างประเทศ ทำให้บริษัทสามารถขายน้ำตาลได้ในราคาที่ดีขึ้น คาดว่าจะก่อสร้างแล้วเสร็จในเดือน ธ.ค. 2558