“อภิรดี” มอบนโยบายทูตพาณิชย์ทำตัวเป็นนักการตลาดหาช่องทางส่งออกให้สินค้าไทย สั่งต้องมีข้อมูลเชิงลึก ตอบโจทย์ความต้องการของเอกชนให้ได้ กำชับทูตอาเซียนทำแผนทำงานรับ AEC พร้อมเน้นเพิ่มการค้าชายแดน หลังยุทธศาสตร์รัฐเน้นเปิดเขตเศรษฐกิจพิเศษ ส่วนตลาดอื่นต้องรักษาตลาดเดิมและหาช่องทางการค้าใหม่ๆ เข้ามาเสริม ประเมินเป้าปีนี้ติดลบ 3% แต่จะพยายามให้ลบน้อยลง
นางอภิรดี ตันตราภรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยในการมอบนโยบายการทำงานให้ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ (ทูตพาณิชย์) ว่า ได้สั่งการให้ทูตพาณิชย์ปรับแผนการทำงานให้สอดคล้องกับสถานการณ์เศรษฐกิจโลกในปัจจุบัน โดยต้องปรับการทำงานเป็นนักการตลาด มองภาพให้ลึกว่าประเทศที่ประจำอยู่ โอกาสสินค้าและบริการของไทยอยู่ตรงไหน หากเอกชนจะเข้าไปบุกเจาะตลาดจะมีขั้นตอนและวิธีการอย่างไร ต้องแนะนำ ต้องให้ข้อมูลให้ได้
ทั้งนี้ กระทรวงฯ จะมีการปรับฐานข้อมูลตลาดแต่ละประเทศใหม่จำเป็นต้องมีข้อมูลเชิงลึกของแต่ละตลาด ซึ่งทูตพาณิชย์จะต้องทำการจัดหาและวิเคราะห์แนวโน้มสินค้าและบริการของไทยในแต่ละตลาดว่าอะไรมีศักยภาพ และจะเพิ่มสัดส่วนการส่งออกได้อย่างไร โดยเฉพาะสินค้าที่เป็นไปตามยุทธศาสตร์คลัสเตอร์ของรัฐบาล และสินค้าบริการที่กระทรวงฯ ให้ความสำคัญในการผลักดันเพื่อสร้างรายได้เข้าประเทศ
ส่วนตลาดส่งออก กระทรวงฯ จะให้ความสำคัญการบุกเจาะตลาดอาเซียนเป็นพิเศษ ทูตพาณิชย์ต้องทำงานหนักกว่าประเทศอื่นๆ ต้องหาช่องทางในการขยายการค้า การลงทุน และการค้าบริการ โดยต้องมีแผนการทำงานที่ชัดเจนในการใช้ประโยชน์จากประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) ที่กำลังจะเกิดขึ้น และในอาเซียนที่มีพื้นที่ติดชายแดน ทั้งกัมพูชา สปป.ลาว พม่า และมาเลเซีย ทูตพาณิชย์จะต้องทำงานโดยเน้นการเพิ่มยอดการค้าชายแดน โดยต้องมีแผนการทำงานให้สอดคล้องกับนโยบายเขตพัฒนาเศรษฐกิจของรัฐบาล ต้องดูว่าจะเชื่อมโยงการค้า การลงทุน และการค้าบริการระหว่างกันได้อย่างไร
“ขอให้ทูตพาณิชย์ในประเทศที่มีพื้นที่ติดชายแดนต้องทำงานเชื่อมโยงกับพาณิชย์จังหวัด ภาคเอกชน และส่วนกลาง ในการทำแผนขยายการค้าชายแดนให้ได้เพิ่มมากขึ้นเพราะสอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลที่ต้องการใช้เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษเป็นตัวผลักดันการค้าชายแดน ซึ่งขณะนี้ได้มีการดำเนินการไปแล้ว”
นอกจากนี้ ขอให้ช่วยมองถึงโอกาสในการขยายการลงทุน ขยายภาคการค้าบริการ นอกเหนือจากการค้าขายสินค้าที่ดำเนินการเป็นปกติอยู่แล้ว เพราะไทยต้องใช้ประโยชน์จากการเปิดเสรีในกรอบการค้าต่างๆ ให้มากขึ้น
ส่วนตลาดหลัก ทั้งสหรัฐฯ ยุโรป ญี่ปุ่น และตลาดที่มีศักยภาพ ทั้งตะวันออกกลาง แอฟริกา เอเชียใต้ ต้องหาทางรักษาส่วนแบ่งตลาดของไทยให้ยังคงอยู่ และมองหาโอกาสในการขยายตลาดส่งออกให้กับสินค้าไทยผ่านช่องทางใหม่ๆ โดยเฉพาะตลาดผู้สูงอายุ การขายผ่านองค์กร หรือหน่วยงานจัดซื้อ และการขยายตลาดสินค้าฮาลาลสำหรับประเทศที่เป็นชาวมุสลิม เป็นต้น รวมทั้งต้องเพิ่มการขายสินค้าไทยผ่านช่องทางการค้าขายผ่านอี-คอมเมิร์ซ ซึ่งขณะนี้กระทรวงฯ อยู่ระหว่างการปรับปรุงเว็บไซต์ thaitrade.com และ thaicommercestore.com เพื่อเป็นช่องทางการขายสินค้าไทย ซึ่งทูตพาณิชย์จะต้องโปรโมตและแนะนำให้ลูกค้าเข้ามาใช้บริการเพื่อช่วยผลักดันการส่งออกสินค้าไทยอีกทางหนึ่ง
นางอภิรดีกล่าวว่า สำหรับเป้าหมายการส่งออกสินค้าไทยในปี 2558 ยังคงยืนยันเป้าหมายเดิมที่ขยายตัวติดลบประมาณ 3% แต่จะพยายามผลักดันให้การส่งออกในช่วงที่เหลือของปีนี้มีมูลค่าเพิ่มขึ้น และทำให้ยอดส่งออกในภาพรวมขยายตัวติดลบน้อยลง ส่วนเป้าหมายการส่งออกในปี 2559 ยังอยู่ระหว่างการประเมินสถานการณ์ และจะมีการหารือร่วมกับผู้ที่เกี่ยวข้องอีกครั้งประมาณเดือน พ.ย. 2558 ก่อนที่จะมีการประกาศเป้าหมายอย่างเป็นทางการ
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายสุวิทย์ เมษินทรีย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ ได้ประชุมหารือกับทูตพาณิชย์ที่ประจำอยู่ในตลาดอาเซียน และตลาดใหม่ที่มีศักยภาพ เช่น จีน อินเดีย โดยได้ชี้แจงแนวทางการทำงาน โดยจะมุ่งการผลักดันการส่งออกในประเทศเหล่านี้ให้ได้เพิ่มมากขึ้น และจะมีการเพิ่มตำแหน่งทูตพาณิชย์ในประเทศเหล่านี้มากขึ้น โดยปรับลดทูตพาณิชย์ในตลาดเดิมที่ไม่ขยายตัว
น.ส.บุณิกา แจ่มใส ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ ณ เซี่ยงไฮ้ กล่าวว่า ขณะนี้ธุรกิจบริการในจีนมีโอกาสเติบโตสูงมาก จึงเป็นโอกาสที่ผู้ประกอบการไทยจะเข้าไปลงทุน โดยเฉพาะธุรกิจแอนิเมชัน ภาพยนตร์ บันเทิง สปา รวมถึงธุรกิจที่ใช้นวัตกรรม ขณะที่ธุรกิจอี-คอมเมิร์ซก็มีความน่าสนใจ มีโอกาสเติบโตสูงมาก และจะเป็นอีกช่องทางหนึ่งในการขยายสินค้าไทยเข้าสู่ตลาดจีน ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายของกระทรวงฯ ที่ต้องการให้เน้นภาคบริการมากขึ้น
นายสมเด็จ สุสมบูรณ์ ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ ณ กรุงนิวยอร์ก สหรัฐฯ กล่าวว่า การส่งออกไปยังสหรัฐฯ ปีนี้น่าจะขยายตัวได้ 3.5% ตามเป้าที่ตั้งไว้ แต่ต้องจับตาดูปัจจัยเสี่ยงในเรื่องอัตราแลกเปลี่ยน และการเลือกตั้งประธานาธิบดีคนใหม่ของสหรัฐฯ ซึ่งอาจจะมีผลต่อนโยบายด้านเศรษฐกิจได้