“เรฟ ไบท์” ปั้นโยเกิร์ตแลนด์ในไทย ติดลมบนเร่งเครื่องลุยตลาดเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เร็วขึ้น นำร่องปีหน้าสิงคโปร์ 4 สาขา และมาเลเซีย 4 สาขา ด้วยยุทธวิธีร่วมทุนกับคนท้องถิ่น มั่นใจปีนี้รายได้ 150 ล้านบาท
นายพรศักดิ์ ชินวงศ์วัฒนา กรรมการผู้จัดการ บริษัท เรฟ ไบท์ จำกัด ผู้ถือลิขสิทธิ์มาสเตอร์แฟรนไชส์ “โยเกิร์ตแลนด์” (Yogurtland) โฟรเซนโยเกิร์ตไขมันต่ำจากสหรัฐอเมริกา ในประเทศไทย และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เปิดเผยว่า แผนการดำเนินธุรกิจและยอดขายของโยเกิร์ตแลนด์ในไทยยังคงเป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้ตั้งแต่เริ่มกิจการเมื่อต้นปีนี้ แม้ว่าในช่วงที่ผ่านมาภาวะเศรษฐกิจจะไม่ค่อยดี กำลังซื้อลดลง รวมทั้งเหตุการณ์ระเบิดในช่วงเดือนที่แล้วที่สี่แยกราชประสงค์ก็ตาม ส่งผลต่อตลาดท่องเที่ยวมากพอสมควร แต่ธุรกิจยังไปได้ดี
ส่วนแผนรุกตลาดต่างประเทศในเซาท์อีสต์เอเชียหรือเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ยังเป็นไปตามแผน ซึ่งคาดว่าอาจจะเร็วกว่าแผนด้วยซ้ำไปเพราะประสบความสำเร็จในไทยเร็วกว่าที่คาด โดยสาขาเทอร์มินอล 21 มีลูกค้าเฉลี่ย 200 คนต่อวัน มีการซื้อเฉลี่ย 200 บาทต่อครั้ง ส่วนสาขาสุขุมวิท 35 มีลูกค้าเฉลี่ย 250 คนต่อวัน มีการซื้อเฉลี่ยประมาณ 130 บาทต่อครั้ง คิดเป็นลูกค้าคนไทย 70% ต่างชาติ 30%
โดยกลยุทธ์ในต่างประเทศจะใช้วิธีหาพาร์ตเนอร์ท้องถิ่นและตั้งบริษัทร่วมทุนเพื่อรับสิทธิ์แฟรนไชส์ เบื้องต้นมองที่ประเทศสิงคโปร์ และประเทศมาเลเซียก่อน ส่วนฟิลิปปินส์จะเป็นลำดับต่อไป คาดว่าปีหน้าจะเปิดที่สิงคโปร์ประมาณ 4 สาขา และที่มาเลเซีย 4 สาขา จะต้องลงทุนไม่ต่ำกว่า 50 ล้านบาทในแต่ละประเทศ ขึ้นอยู่กับทำเลและขนาดพื้นที่และจำนวนตู้กดโยเกิร์ต โดยเฉลี่ยแล้วถ้ามี 6 ตู้ รวม 12 รสชาติ จะลงทุนประมาณ 8 ล้านบาท
ทั้งนี้ การเปิดสาขาในต่างประเทศคงจะมีทุกรูปแบบเหมือนในไทย แล้วแต่ความเหมาะสม ซึ่งโมเดลที่จะเปิดก็มีทั้งแบบคีออสก์ พื้นที่ขนาด 25-35 ตารางเมตร มีตู้กดโยเกิร์ต 4 ตู้ มูลค่าเครื่องละ 9 แสนบาท ลงทุนสาขาละ 5 ล้านบาท ส่วนรูปแบบร้าน พื้นที่ 80-160 ตารางเมตร มีตู้กดโยเกิร์ต 6-8 ตู้ ลงทุนสาขาละ 6-7 ล้านบาท ขณะนี้มี 17 รสชาติที่บริการในไทย
การเลือกไปประเทศสิงคโปร์ก่อน เนื่องจากว่าอัตราการบริโภคไอศกรีมโยเกิร์ตของคนสิงคโปร์ค่อนข้างสูงประมาณ 5-6 ลิตรต่อคนต่อปี ขณะที่ประเทศมาเลเซียมีอัตราการบริโภคเฉลี่ย 2.5 ลิตรต่อคนต่อปี จึงทำให้เป็นโอกาสที่จะเติบโตได้ ขณะที่คนไทยมีการบริโภคเฉลี่ย 2 ลิตรต่อคนต่อปีเท่านั้นเอง ก็ถือเป็นตลาดที่มีแนวโน้มเติบโตดี
สำหรับแผนธุรกิจในไทยจะมีการขยายสาขาใหม่ต่อเนื่องด้วยการลงทุนเองเป็นหลักก่อน ซึ่งตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ช่วงต้นปีนี้จะเปิดให้ครบ 10 สาขา เริ่มจากสาขาแรกที่เทอร์มินัล 21 และสุขุมวิท 35 ปัจจุบันมี 8 สาขา เช่นที่ สาขาเพลินนารี่ มอลล์ (วัชรพล), เดอะ คริสตัล เอสบี (ราชพฤกษ์-พระราม 5), พาซิโอ พาร์ค ถนนกาญจนาภิเษก), เอสพลานาด (รัชดาภิเษก), ลา วิลล่า ตรงข้าม ซ.อารี ถ.พหลโยธิน และเตรียมเปิดใหม่อีกเช่นที่ The Zpell ฟิวเจอร์พาร์ค รังสิต, เมกา บางนา, พรอมเมอนาด, เซ็นทรัลเวสต์เกต ส่วนปีหน้าจะเปิดสาขาที่สยามเซ็นเตอร์
บริษัทฯ ตั้งเป้าหมายรายได้รวมปีนี้ไว้ที่ 150 ล้านบาท โดยคาดว่าภายในปี 2558 จะสามารถทำยอดขายได้สูงกว่าตลาดคือประมาณ 150 ล้านบาท และคาดว่าจะเป็นผู้นำตลาดด้วยส่วนแบ่ง 60% ขณะที่มูลค่าตลาดรวมปีนี้จะอยู่ที่ 250 ล้านบาท เพิ่มจากปีที่แล้วที่มีเพียง 100 ล้านบาทเท่านั้น โดยมีผู้ประกอบการหลายแบรนด์ในตลาด เช่น Party Land, Yoo Moo, Many Cup และ Budhi Belly ซึ่งทุกแบรนด์นี้มีสาขารวมกันประมาณ 10 แห่ง สำหรับตลาดโฟรเซนโยเกิร์ตเป็นเซกเมนต์หนึ่งในตลาดไอศกรีม ที่มีมูลค่าประมาณ 15,000 ล้านบาท