RLG Group วางโรดแมปปูพรมธุรกิจ 3 ปี ทำรายได้ทะลุ 1,000 ล้านบาท ชูกลยุทธ์การทำงานทั้งด้านลึกและกว้าง เตรียมทุน 50 ล้านบาท เพื่อพัฒนาธุรกิจ เล็งขยายในธุรกิจอีคอมเมิร์ซ ขายสินค้าเสริมสร้างพัฒนาการ พร้อมเตรียมตัวบุกตลาดในภาคเอกชน
นางศิริพร ผลชีวิน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มบริษัท อาร์แอลจี (RLG) ผู้ดำเนินธุรกิจสื่อสร้างสรรค์เพื่อการเรียนรู้ของครอบครัวและสังคม เปิดเผยถึงแผนการดำเนินธุรกิจในระยะ 3 ปีว่า ได้สร้าง RLG EF road map ซึ่งได้วางกลยุทธ์การทำงานไว้ทั้งในด้านลึกและด้านกว้าง จะมุ่งเน้นสร้างการเรียนรู้ของครอบครัวและสังคม โดยในด้านลึกจับมือกับ 5 พันธมิตรเปิดโครงการ Thailand EF Partnership เพื่อผลักดันองค์ความรู้ EF ส่วนทางด้านกว้างจะสื่อสารผ่านสื่อต่างๆ ของบริษัท ไม่ว่าจะเป็น สื่อสิ่งพิมพ์ นิตยสาร งานกิจกรรม สื่อดิจิตอล และรายการโทรทัศน์ รวมถึงสถาบัน RLG
“ภาพใหญ่ที่เพิ่งเปิดตัวไปคือโครงการ Thailand EF Partnership ในงาน RLG Symposium 2015 ที่ได้ 5 พันธมิตรทั้งภาครัฐและเอกชนมาร่วมผลักดัน EF เป็นวาระสำคัญในการปฏิรูปการศึกษา ส่วนรูปแบบของตัวงานทั้งหมดจะผ่านสื่อสิ่งพิมพ์ ทีวีโปรแกรม อีเวนต์ โซเชียลเลินนิ่ง ที่ยังทำต่อไป และการขยายเข้าสู่ดิจิตอลแพลตฟอร์ม ที่จะขยายไปสู่พ่อแม่ยุคใหม่ ซึ่งเป็นเครื่องมือการทำงานที่ไปได้ทั่วถึง และทันต่อเหตุการณ์ โดยองค์ความรู้ทั้งหมดนั้นจะอยู่ในเว็บไซต์ www.rlg-ef.com ส่วนการเผยแพร่ข้อมูลก็จะไปในทุกช่องทางของสื่อที่บริษัทฯ ได้มีอยู่”
สำหรับเป้าหมายผลการดำเนินงานของบริษัทฯ ในปี 2558 ได้วางเป้าหมายรายได้ไว้อยู่ที่ 560 ล้านบาท หรือเติบโตในอัตรา 15% จากในปีที่ผ่านมา ส่วนในระยะ 3 ปีนับจากนี้คาดว่าจะทำรายได้เติบโตเท่าตัวหรือมีรายได้ถึง 1,000 ล้านบาท เนื่องจากบริษัทได้ปรับตัวรองรับการเติบโตไว้หลายด้าน โดยมีคอนเทนต์เป็นเรือธงในการขับเคลื่อนด้วยกระบวนการทำงานแบบ Total Creative Solution ที่ได้มีการเชื่อมโยงธุรกิจสายคอมมูนิเคชัน (Communication) ร่วมกับธุรกิจ Social Learning และ Social Creativity เข้าด้วยกัน โดยเฉพาะสื่อดิจิตอลที่สามารถเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายจำนวนมากได้
นางศิริพรได้กล่าวต่อไปว่า “เพื่อรองรับการเติบโตของบริษัทฯ ในระยะ 3 ปีนับต่อจากนี้ไปบริษัทจึงเตรียมงบประมาณการลงทุนไว้ประมาณ 50 ล้านบาท หรือไม่ต่ำกว่าปีละ 10-15 ล้านบาท สำหรับการลงทุนพัฒนาธุรกิจให้พร้อมรับการเติบโต โดยสื่อเทรดิชันนัล เช่น สื่อสิ่งพิมพ์ รายการโทรทัศน์ บริษัทจะมุ่งพัฒนาเนื้อหาให้ตอบโจทย์ความต้องการของกลุ่มเป้าหมาย ส่วนสื่อดิจิตอลนั้นทางบริษัทฯ เตรียมลงทุนในด้านต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นระบบ เครื่องมือ บุคลากร และคอนเทนต์ต่างๆ ที่จะต้องทำการวิจัยและพัฒนาให้สามารถตอบสนองความต้องการของกลุ่มเป้าหมาย และเงื่อนไขทางการตลาดที่ลูกค้าต้องการ
“ช่วง 5 ปีที่ผ่านมาทางบริษัทฯ ไม่ได้คิดจะลงทุนใหญ่ แต่เป็นการลงทุนทำแบบค่อยเป็นค่อยไป การลงทุนทุกปีที่ผ่านมาก็ระดับนี้ แต่นับจากนี้การลงทุนสำคัญจะอยู่ในส่วนของดิจิตอลที่บริษัทต้องเตรียมรองรับ เพราะนับตั้งแต่มีอินเทอร์เน็ตเข้ามาสถานการณ์ต่างๆ ก็เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ส่วนรายการทีวีก็คงต้องมีการเพิ่มมากขึ้น อาจจะเป็นการร่วมกับพันธมิตรผลิตรายการ ขณะที่งานอีเวนต์เองที่หัวใจสำคัญเป็นเรื่องนวัตกรรมการเรียนรู้ จากก่อนหน้านี้ที่การจัดงานมุ่งตอบโจทย์ทางการตลาด ต่อไปงานอีเวนต์ของเราจะเน้นในเรื่องกระบวนการเรียนรู้ การสร้างนวัตกรรมการเรียนรู้ในงานให้มากขึ้น”
นอกจากนี้ ทางบริษัทฯ ยังให้ความสนใจที่จะดำเนินธุรกิจอีคอมเมิร์ซ โดยอาจจะเป็นการนำสินค้าด้านการส่งเสริมพัฒนาการของเด็ก หรือสินค้าที่มีประโยชน์ ตรงตามความต้องการของกลุ่มเป้าหมายของพ่อแม่มาจำหน่าย ซึ่งบริษัทอยู่ระหว่างการวางแผนงาน รวมถึงการนำเอาคอนเทนต์ของบริษัทไปเชื่อมโยงกับสิ่งต่างๆ และการเพิ่มแอปพลิเคชัน ส่วนธุรกิจ Social Learning และ Social Creativity ก็วางแผนการขยาย ธุรกิจเพื่อให้เติบโตไปพร้อมกันด้วย เนื่องจากปัจจุบันทั้งหน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชนต่างให้ความสำคัญต่อกระบวนการสร้างการเรียนรู้ให้เกิดขึ้นแก่ชุมชนและครอบครัว เนื่องจากเป็นกระบวนการที่ก่อให้เกิดความยั่งยืนในเรื่องต่างๆ ซึ่งบริษัทได้เตรียมขยายธุรกิจด้วยการเพิ่มบุคลากรไว้รองรับ รวมถึงการเพิ่มนักวิชาการ บุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญเป็นพิเศษ (Specialist) ในบางสายงาน
นางศิริพรยังกล่าวเพิ่มเติมอีกว่า ในปัจจุบันภาคเอกชนได้ให้ความสำคัญต่อการจัดกิจกรรมเพื่อสังคม หรือ CSR ที่มุ่งสร้างกระบวนการเรียนรู้ในชุมชน โดยเฉพาะบริษัทเอกชนที่จดทะเบียนอยู่ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ทำให้บริษัทสามารถสร้างการเติบโตกับกลุ่มบริษัทต่างๆ ดังกล่าวได้ ขณะที่หน่วยงานภาครัฐก็ยังคงให้ความสำคัญและมีบทบาทสำคัญต่อการขับเคลื่อนประเทศ ในด้านการสร้างกระบวนการเรียนรู้ในเรื่องต่างๆ บริษัทจึงมีโอกาสสร้างการเติบโตกับธุรกิจดังกล่าวได้ ซึ่งในปัจจุบันธุรกิจทั้ง 2 สายงานดังกล่าวมีสัดส่วนประมาณ 45-50% ของรายได้ บริษัทคาดว่าในระยะ 3 ปีน่าจะเพิ่มสัดส่วนรายได้เป็น 60%
“แนวโน้มและโอกาสของธุรกิจ 2 สายดังกล่าวกำลังมาและขยายตัวเพิ่มมากขึ้น ปัจจุบันบริษัทมีงานต่างๆ ปีละ 20 งาน ในการสร้างชุมชนเข้มแข็งในรูปแบบต่างๆ บางงานทำต่อเนื่อง 3 ปี เพราะเมื่องานสำเร็จแล้วก็ขยายไปต่อเนื่อง ซึ่งเราเน้นสร้างกระบวนการเรียนรู้ เมื่อเรียนรู้จะเกิดการพัฒนา ซึ่งโจทย์ของการทำงานจะเป็นเรื่องอะไรก็ได้ ขณะที่สายคอมมูนิเคชันที่เป็นหลักในปัจจุบันสื่อมีการเปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก แต่สื่อดิจิตอลจะเป็นสื่อที่ทำให้บริษัทยังคงรักษาสัดส่วนไว้ได้ ไม่อย่างนั้นรายได้อาจจะลดน้อยลงไป เรายึดอยู่ทุกวันนี้สื่อปรับเปลี่ยน แต่ดิจิตอลจะคงสัดส่วนไว้ได้ ไม่อย่างนั้นจะปรับน้อยลงไป”