นายวรวุฒิ วาริการ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอ็นโซโก้ (ประเทศไทย) จํากัด บริษัทอีคอมเมิร์ซชั้นแนวหน้าของไทย กูรูการตลาดด้านออนไลน์ และพ่วงตำแหน่งอาจารย์พิเศษประจำวิชาพฤติกรรมผู้บริโภค ในหลักสูตร Signature MBA Program ของมหาวิทยาลัยนานาชาติแสตมฟอร์ด เปิดห้องเรียนเสวนาในหัวข้อ E-Commerce Strategy เผยสถานการณ์ตลาดอีคอมเมิร์ซในภาวะเศรษฐกิจจีนกำลังผันผวนว่า E-commerce จีนตอนนี้มีความผันผวนเป็นช่วงๆ สืบเนื่องมาจากปีที่แล้ว แต่เชื่อว่าธุรกิจ E-commerce จะไม่ได้รับผลกระทบมากนัก อาจจะชะลอตัวในระยะสั้นจากกำลังซื้อ แต่อย่างไรก็ตาม ตลาดมีการเติบโตขึ้นเรื่อยๆ เนื่องจากความต้องการที่เพิ่มมากขึ้นของผู้ซื้อ คาดว่าในครึ่งปีหลังนี้ตลาด E-commerce จะมีระดับการเติบโตอยู่ที่ 10%-15% นอกจากนี้ยังมีแนวโน้มขยายตัวเนื่องด้วยปัจจัยทางด้านการเติบโตของ Mobile Marketing และ Internet Penetration
นายวรวุฒิ วาริการ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอ็นโซโก้ (ประเทศไทย) จํากัด ย้ำว่า “แม้ว่าเศรษฐกิจจีนมีความผันผวน ทำให้การส่งออกของตลาดอีคอมเมิร์ซไทยหดตัวร้อยละ 1 จากปัจจุบันที่ไทยส่งออกไปจีนมีสัดส่วนร้อยละ 10 ของการส่งออกทั้งหมดของไทย ในระยะสั้นผู้ประกอบการอีคอมเมิร์ซจะไม่ได้รับผลกระทบมากนักแต่อาจจะมีผลต่อตลาดหุ้นเมืองไทย คาดว่าจะเติบโตไม่เท่าตามที่คาดการณ์ไว้ ทั้งนี้ หากมองในระยะยาวหากเศรษฐกิจจีนยังคงชะลอตัวอย่างต่อเนื่องย่อมมีผลโดยตรงต่อการเติบโตของ E-commerce ในไทยอย่างแน่นอนแต่สินค้าไทยที่ขายทาง E-commerce โดยเฉพาะที่ส่งออกไปยังจีนจะได้รับผลกระทบไม่มากนักแต่นั้นไม่ได้หมายความว่าไม่กระทบเลยสืบเนื่องมาจากตลาดหุ้นของจีนที่ตกลง จนเป็นเหตุทำให้บริษัทหลายแห่งในจีนได้ชะลอการลงทุนใหม่ แต่เป็นการคงสภาพเอาไว้เพื่อประคองตัวให้พ้นวิกฤตนี้ไป ทำให้สินค้าไทยที่ขายทาง E-Commerce ส่งออกไปยังจีนอาจได้รับผลกระทบและชะลอตัวลงไปด้วยเช่นกัน
นายวรวุฒิได้กล่าวถึงกำลังซื้อของผู้บริโภคจีนว่า “ในด้านกำลังซื้อของผู้บริโภคจีนไม่น่าจะมีผลกระทบมากนัก เพราะผู้ประกอบการ E-commerce ของไทย ปัจจุบันยังไม่ได้มุ่งตลาดไปยังจีนมากนักทำให้ได้รับผลกระทบน้อย สิ่งที่ผู้ประกอบการไทยควรมองหาในช่วงที่เศรษฐกิจจีนมีความผันผวนคือเรื่องของการโยกย้ายตลาดการลงทุน แนวโน้มการลงทุนในจีน Venture Capital น่าจะมีการชะลอตัวลง ทำให้ผู้ลงทุนมองหาตลาดอื่นๆ ที่มีศักยภาพในการเติบโตที่มากกว่า ทำให้ผู้ประกอบการ E-commerce ในไทยมีโอกาสในการแสดงศักยภาพและดึงดูดเม็ดเงินการลงทุนจากต่างชาติได้มากขึ้น ดังนั้น ผู้ประกอบ E-commerce ไทย ควรติดตามสถานการณ์ E-commerce อย่างใกล้ชิด เพื่อที่จะสามารถปรับกลยุทธ์ให้สามารถตอบสนองกับสภาวะของตลาดได้และรอจังหวะว่าควรจะลงทุนหรือชะลอการลงทุนในจีนหรือไม่อย่างไร
นายวรวุฒิได้กล่าวถึงทางออกของธุรกิจอีคอมเมิร์ซ เมื่อไทยก้าวเข้าสู่การเปิดเขตการค้าเสรีอาเซียนว่า “สินค้าของผู้ประกอบการอีคอมเมิร์ซไทยมีจุดแข็งด้านคุณภาพของสินค้า และบริการที่เหนือกว่าจีนมาก อีกทั้งยังมีความเชี่ยวชาญทางด้านผู้บริโภคมากกว่าผู้ประกอบการจากจีน หากผู้ประกอบการจีนหลั่งไหลเข้ามาแย่งส่วนแบ่งทางการตลาดในไทย
อาจารย์แสตมฟอร์ดแนะว่า ควรคงความมีคุณภาพในด้านของคุณภาพสินค้าและบริการอย่างต่อเนื่อง และผู้ประกอบการอีคอมเมิร์ซไทยควรจะสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับกลุ่ม Supply Chain ในประเทศ เพื่อที่จะพัฒนาด้านการขนส่งสินค้าและระบบ Logistics ให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นรวมทั้งสร้างความแตกต่างทางด้านสินค้าและบริการ สำหรับกลยุทธ์ที่ควรนำมาใช้เพื่อช่วงชิงส่วนแบ่งการตลาดในตลาดจีนของผู้ประกอบการไทยนั้น เห็นว่าผู้ประกอบการ E-commerce ไทยควรใช้กลยุทธ์ในการเจาะกลุ่มตลาด niche market ให้มากขึ้น เพราะธรรมชาติของผู้บริโภคกลุ่มนี้มีกำลังซื้อที่ค่อนข้างสูง และอาจได้รับผลกระทบไม่มากจากภาวะเศรษฐกิจจีนที่กำลังผันผวน นอกจากนี้ควรสร้างความแตกต่างให้แก่ผลิตภัณฑ์ โดยมีจุดหมายที่ชัดเจน และควรหากลยุทธ์ใหม่ๆ เพื่อมาปรับใช้ในการกระตุ้นยอดการสั่งซื้อจากทางลูกค้า เช่น เฟ้นหาบริการที่สามารถอำนวยความสะดวกให้ลูกค้าสามารถชำระเงินได้ง่ายขึ้น โดยดึงระบบชำระเงินรูปแบบใหม่ที่เพิ่งเปิดตัวในประเทศไทย เช่น บริการ Line Pay ซึ่งลูกค้าสามารถลงทะเบียนและผูกบัตรเครดิตหรือเดบิตเพียงครั้งเดียว แล้วครั้งต่อๆไปใส่เพียงรหัส หกหลัก หรือถ้าลูกค้าใช้ไอโฟน เพียงแค่แสกนนิ้วก็สามารถชำระค่าสินค้าและบริการได้ทันที หรือจะเป็น APP Notification ซึ่งสามารถแจ้งเตือนเวลามีโปรโมชันใหม่ๆ โดยตรงกับทางลูกค้าก็เป็นอีกหนึ่งช่องทางในการเพิ่มยอดขายของผู้ประกอบอีคอมเมิร์ซได้อีกด้วย”
นายวรวุฒิ วาริการ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอ็นโซโก้ (ประเทศไทย) จํากัด ย้ำว่า “แม้ว่าเศรษฐกิจจีนมีความผันผวน ทำให้การส่งออกของตลาดอีคอมเมิร์ซไทยหดตัวร้อยละ 1 จากปัจจุบันที่ไทยส่งออกไปจีนมีสัดส่วนร้อยละ 10 ของการส่งออกทั้งหมดของไทย ในระยะสั้นผู้ประกอบการอีคอมเมิร์ซจะไม่ได้รับผลกระทบมากนักแต่อาจจะมีผลต่อตลาดหุ้นเมืองไทย คาดว่าจะเติบโตไม่เท่าตามที่คาดการณ์ไว้ ทั้งนี้ หากมองในระยะยาวหากเศรษฐกิจจีนยังคงชะลอตัวอย่างต่อเนื่องย่อมมีผลโดยตรงต่อการเติบโตของ E-commerce ในไทยอย่างแน่นอนแต่สินค้าไทยที่ขายทาง E-commerce โดยเฉพาะที่ส่งออกไปยังจีนจะได้รับผลกระทบไม่มากนักแต่นั้นไม่ได้หมายความว่าไม่กระทบเลยสืบเนื่องมาจากตลาดหุ้นของจีนที่ตกลง จนเป็นเหตุทำให้บริษัทหลายแห่งในจีนได้ชะลอการลงทุนใหม่ แต่เป็นการคงสภาพเอาไว้เพื่อประคองตัวให้พ้นวิกฤตนี้ไป ทำให้สินค้าไทยที่ขายทาง E-Commerce ส่งออกไปยังจีนอาจได้รับผลกระทบและชะลอตัวลงไปด้วยเช่นกัน
นายวรวุฒิได้กล่าวถึงกำลังซื้อของผู้บริโภคจีนว่า “ในด้านกำลังซื้อของผู้บริโภคจีนไม่น่าจะมีผลกระทบมากนัก เพราะผู้ประกอบการ E-commerce ของไทย ปัจจุบันยังไม่ได้มุ่งตลาดไปยังจีนมากนักทำให้ได้รับผลกระทบน้อย สิ่งที่ผู้ประกอบการไทยควรมองหาในช่วงที่เศรษฐกิจจีนมีความผันผวนคือเรื่องของการโยกย้ายตลาดการลงทุน แนวโน้มการลงทุนในจีน Venture Capital น่าจะมีการชะลอตัวลง ทำให้ผู้ลงทุนมองหาตลาดอื่นๆ ที่มีศักยภาพในการเติบโตที่มากกว่า ทำให้ผู้ประกอบการ E-commerce ในไทยมีโอกาสในการแสดงศักยภาพและดึงดูดเม็ดเงินการลงทุนจากต่างชาติได้มากขึ้น ดังนั้น ผู้ประกอบ E-commerce ไทย ควรติดตามสถานการณ์ E-commerce อย่างใกล้ชิด เพื่อที่จะสามารถปรับกลยุทธ์ให้สามารถตอบสนองกับสภาวะของตลาดได้และรอจังหวะว่าควรจะลงทุนหรือชะลอการลงทุนในจีนหรือไม่อย่างไร
นายวรวุฒิได้กล่าวถึงทางออกของธุรกิจอีคอมเมิร์ซ เมื่อไทยก้าวเข้าสู่การเปิดเขตการค้าเสรีอาเซียนว่า “สินค้าของผู้ประกอบการอีคอมเมิร์ซไทยมีจุดแข็งด้านคุณภาพของสินค้า และบริการที่เหนือกว่าจีนมาก อีกทั้งยังมีความเชี่ยวชาญทางด้านผู้บริโภคมากกว่าผู้ประกอบการจากจีน หากผู้ประกอบการจีนหลั่งไหลเข้ามาแย่งส่วนแบ่งทางการตลาดในไทย
อาจารย์แสตมฟอร์ดแนะว่า ควรคงความมีคุณภาพในด้านของคุณภาพสินค้าและบริการอย่างต่อเนื่อง และผู้ประกอบการอีคอมเมิร์ซไทยควรจะสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับกลุ่ม Supply Chain ในประเทศ เพื่อที่จะพัฒนาด้านการขนส่งสินค้าและระบบ Logistics ให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นรวมทั้งสร้างความแตกต่างทางด้านสินค้าและบริการ สำหรับกลยุทธ์ที่ควรนำมาใช้เพื่อช่วงชิงส่วนแบ่งการตลาดในตลาดจีนของผู้ประกอบการไทยนั้น เห็นว่าผู้ประกอบการ E-commerce ไทยควรใช้กลยุทธ์ในการเจาะกลุ่มตลาด niche market ให้มากขึ้น เพราะธรรมชาติของผู้บริโภคกลุ่มนี้มีกำลังซื้อที่ค่อนข้างสูง และอาจได้รับผลกระทบไม่มากจากภาวะเศรษฐกิจจีนที่กำลังผันผวน นอกจากนี้ควรสร้างความแตกต่างให้แก่ผลิตภัณฑ์ โดยมีจุดหมายที่ชัดเจน และควรหากลยุทธ์ใหม่ๆ เพื่อมาปรับใช้ในการกระตุ้นยอดการสั่งซื้อจากทางลูกค้า เช่น เฟ้นหาบริการที่สามารถอำนวยความสะดวกให้ลูกค้าสามารถชำระเงินได้ง่ายขึ้น โดยดึงระบบชำระเงินรูปแบบใหม่ที่เพิ่งเปิดตัวในประเทศไทย เช่น บริการ Line Pay ซึ่งลูกค้าสามารถลงทะเบียนและผูกบัตรเครดิตหรือเดบิตเพียงครั้งเดียว แล้วครั้งต่อๆไปใส่เพียงรหัส หกหลัก หรือถ้าลูกค้าใช้ไอโฟน เพียงแค่แสกนนิ้วก็สามารถชำระค่าสินค้าและบริการได้ทันที หรือจะเป็น APP Notification ซึ่งสามารถแจ้งเตือนเวลามีโปรโมชันใหม่ๆ โดยตรงกับทางลูกค้าก็เป็นอีกหนึ่งช่องทางในการเพิ่มยอดขายของผู้ประกอบอีคอมเมิร์ซได้อีกด้วย”