“เคเอฟซี” เร่งเครื่องเฟ้นหาพันธมิตรธุรกิจรายใหม่ก่อนประกาศเปิดตัวอย่างเป็นทางการต้นปี 59 เผย 3 สิทธิประโยชน์จูงใจร่วมบริหารร้านสาขาใหม่ 130 แห่ง พร้อมโอกาสเติบโตทางธุรกิจ คาดปี 58 เปิดสาขาใหม่ 40 แห่ง พร้อมเร่งนำระบบ SOP มาใช้ในการเพิ่มความรวดเร็วในการสั่งซื้อและรับอาหารทุกสาขาทั่วประเทศ
นางแววคนีย์ อัสโสรัตน์กุล ผู้จัดการทั่วไป “เคเอฟซี” ประจำประเทศไทย บริษัท ยัม เรสเทอรองตส์ อินเตอร์เนชั่นแนล (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า ตามที่ “เคเอฟซี” ได้ประกาศเมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมาว่ากำลังมองหาพันธมิตรทางธุรกิจเพิ่มเพื่อเสริมทัพร่วมขับเคลื่อนแผนพัฒนาธุรกิจให้เติบโตอย่างมั่นคง หลังจากที่เป็นพันธมิตรร่วมกับ บริษัท เซ็นทรัล เรสตอรองส์ กรุ๊ป จำกัด มายาวนาน 31 ปีนั้น ขณะนี้กระบวนการสรรหาพันธมิตรฯ กำลังอยู่ในระหว่างดำเนินการซึ่งเป็นความลับทางธุรกิจ แต่คาดว่าจะดำเนินการแล้วเสร็จและสามารถประกาศแจ้งผู้ที่จะเป็นพันธมิตรทางธุรกิจรายใหม่ได้ในช่วงต้นปี 2559
“พันธมิตรทางธุรกิจรายใหม่จะเป็นผู้ดำเนินงานร้านเคเอฟซีกว่า 130 สาขา แบ่งเป็นพื้นที่ในเขตกรุงเทพฯ 75 สาขา และในจังหวัดที่มีศักยภาพของการดำเนินธุรกิจอีก 53 สาขา โดยหลักเกณฑ์ข้างต้นในการคัดเลือกพันธมิตรทางธุรกิจใหม่ของเคเอฟซีนั้นจะต้องเป็นกลุ่มทุนที่มีศักยภาพในการบริหารและดำเนินกิจการร้านเคเอฟซีกว่า 130 สาขา”
สำหรับพันธมิตรใหม่ที่จะเป็นผู้ดำเนินงานร้าน “เคเอฟซี” ในข้างต้นจะได้รับประโยชน์ในการดำเนินธุรกิจดังนี้ 1. สเกลธุรกิจขนาดใหญ่ เมื่อได้รับสิทธิ์จาก “เคเอฟซี” อย่างเป็นทางการ พันธมิตรทางธุรกิจรายใหม่จะเป็นผู้ดำเนินกิจการร้านอาหารรายใหญ่ที่สุดรายหนึ่งในประเทศไทย 2. พื้นที่ตั้งของร้านเคเอฟซีจะสร้างโอกาสในการดำเนินธุรกิจ รวมถึงยอดขายที่มีมูลค่าสูง ผลกำไร รวมถึงโอกาสในการลงทุนและผลกำไรตอบแทนจากการเปิดร้านใหม่ในอนาคต 3. พันธมิตรทางธุรกิจใหม่จะได้รับสิทธิ์เข้ามาดำเนินกิจการและดูแลธุรกิจในพื้นที่ที่มีระบบการดำเนินงานที่เข้มแข็ง โดยมีระบบการให้บริการที่มีประสิทธิภาพและมีศักยภาพในการเติบโตได้อย่างรวดเร็ว
“เคเอฟซีเล็งเห็นโอกาสการเติบโตทางธุรกิจโดยเฉพาะในพื้นที่ที่มีศักยภาพซึ่งจะผลักดันให้แบรนด์เติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว สำหรับตลาดต่างจังหวัดการพัฒนาและขยายเมืองอย่างรวดเร็วทำให้ธุรกิจของเคเอฟซีมีโอกาสในการเติบโตสูงตามไปด้วย ขณะเดียวกัน ในเมืองใหญ่อย่างกรุงเทพฯ ธุรกิจค้าปลีกยังมีโอกาสเติบโตจากลูกค้าที่ต้องการความสะดวกสบาย รวมถึงสินค้าและบริการที่รวดเร็วยิ่งขึ้น” นางแววคนีย์กล่าว
นางแววคนีย์กล่าวด้วยว่า ปัจจุบัน “เคเอฟซี” กำลังดำเนินกลยุทธ์ในด้านการพัฒนานวัตกรรมและการดำเนินงานร่วมกับพันธมิตรทางธุรกิจใหม่เพื่อให้บรรลุเป้าหมายทางธุรกิจโดยจะยังเดินหน้าลงทุนในประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง หลังจากในปีที่ผ่านมามียอดขายเพิ่มขึ้น 7% สืบเนื่องจากการนำเสนอสินค้าและบริการที่คุ้มค่า ตลอดจนการพัฒนาการให้บริการและอำนวยความสะดวกให้ตรงต่อความต้องการของลูกค้าทุกกลุ่มมาโดยตลอด
“เคเอฟซี” ให้ความสำคัญในการพัฒนานวัตกรรมเพื่อนำเสนอสินค้าและบริการที่มีคุณภาพในราคาที่คุ้มค่าซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ประสบความสำเร็จในการดำเนินธุรกิจ นอกจากนี้ยังตอบสนองต่อภาวะค่าครองชีพที่สูงขึ้น โดยในปี 2558 ใช้งบลงทุนกว่า 1.8 พันล้านบาทในการพัฒนาสินค้าและบริการ รวมถึงการสร้างประสบการณ์ที่ดีให้ลูกค้ากลุ่มเพื่อนและครอบครัว
สำหรับลูกค้าที่มารับประทานภายในร้านและสั่งกลับบ้าน “เคเอฟซี” ได้พัฒนากระบวนการเพิ่มความเร็วในการสั่งซื้อและรับอาหาร หรือ SOP (Speed Up Ordering Process) ซึ่งเป็นการนำเทคโนโลยีการรับออเดอร์มาตรฐานระดับโลกมาใช้ พร้อมปรับปรุงขั้นตอนและรูปแบบในครัวใหม่ ทำให้การทำและนำส่งอาหารให้ลูกค้ารวดเร็วยิ่งขึ้น โดยระบบ SOP จะดำเนินการให้ภายใน 1 ชั่วโมง ทำให้สามารถให้บริการลูกค้าเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว โดยตั้งเป้าติดตั้งระบบ SOP ในร้านเคเอฟซีทั้งหมดทั่วประเทศในอนาคตอันใกล้
นางแววคนีย์กล่าวเสริมว่า แม้ว่าสภาพเศรษฐกิจในปัจจุบันจะสร้างความท้าทายในการดำเนินธุรกิจให้แก่ “เคเอฟซี” แต่ผู้บริโภคทั้งในกรุงเทพฯ และจังหวัดต่างๆ กลับเพิ่มความต้องการและนิยมการใช้ชีวิตที่ครบครันด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกรวดเร็วต่างๆ จึงเป็นหนึ่งในปัจจัยหลักที่ “เคเอฟซี” เล็งเห็นและวางเป้าในการเปิดร้านเพิ่มทั้งหมดมากกว่า 40 สาขา ทั้งในรูปแบบไดรฟ์ทรูและร้านที่กระจายอยู่ตามห้างสรรพสินค้า ศูนย์การค้าและไฮเปอร์มาร์เกต เพื่อสนองความต้องการของลูกค้าให้ทั่วถึงยิ่งขึ้นจากปัจจุบันมีสาขาบริการครอบคลุมทั่วประเทศจำนวน 535 สาขา (ณ เดือนกรกฎาคม 2558) ตอกย้ำความเป็นผู้นำธุรกิจเชนร้านอาหารบริการด่วนที่เติบโตเร็วที่สุดในประเทศไทย