xs
xsm
sm
md
lg

เอสพีซีจี จับมือ ควอลิตี้เฮ้าส์ รุกตลาดโซลาร์รูฟ ตั้งเป้า 500 ล้าน เตรียมลุย AEC

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online

เอสพีซีจีจับมือควอลิตี้เฮ้าส์รุกตลาดโซลาร์รูฟ ซีอีโอโวนวัตกรรมใหม่ครั้งแรกด้านธุรกิจอสังหาฯ ตั้งเป้าจำหน่าย 500 ล้านบาท เดินหน้าสร้างโรงงานผลิตแผงโซลาร์เองในไทย กำลังผลิต 100 เมกะวัตต์รองรับเออีซี มั่นใจรายได้ SPCG ปีนี้ทะลุ 5 พันล้านบาท สร้างกำไรมากเป็นประวัติการณ์ พร้อมทุ่มทุนเปิดตลาดรองรับ AEC

วันนี้ (7ส.ค.) ที่โรงแรมเซ็นทาราแกรนด์ เซ็นทรัลลาดพร้าว บริษัท ควอลิตี้ เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) ร่วมกับ บริษัท เอสพีซีจี จำกัด (มหาชน) ทำพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) เพื่อร่วมกันศึกษา ออกแบบ และพัฒนาระบบผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์บนหลังคาบ้านพักอาศัยของโครงการคิวเฮ้าส์

นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการควอลิตี้เฮ้าส์ กล่าวว่า ควอลิตี้เฮ้าส์มีแนวคิดด้านนวัตกรรมสำหรับการอยู่อาศัยในรูปแบบ Smart Home เพื่อให้ลูกค้าได้รับประโยชน์จากนวัตกรรมการจัดการพลังงานในบ้านควบคู่ไปกับการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม ซึ่งความร่วมมือในการพัฒนาระบบผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอามิตย์บนหลังคาบ้านพักอาศัย หรือโซลาร์รูฟ กับเอสพีซีจีในครั้งนี้จะสามารถตอบโจทย์การพัฒนาที่อยู่อาศัยของบริษัทฯ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ทั้งนี้ การติดตั้งโซลาร์รูฟลูกค้าจะได้รับประโยชน์ด้านการลดการใช้พลังงานไฟฟ้าภายในบ้าน ช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายใช้ไฟฟ้า และแผงโซลาร์รูฟยังช่วยลดความร้อนบนหลังคาทำให้บ้านเย็นลง อีกทั้งสอดคล้องกับนโยบายของภาครัฐในด้านการลดการนำเข้าพลังงาน และสร้างความมั่นคงด้านพลังงานให้แก่ประเทศ นอกจากนี้ พลังงานไฟฟ้าที่ผลิตได้จากแสงอาทิตย์เป็นพลังงานสะอาดที่ได้จากธรรมชาติ จึงเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ช่วยลดการสร้างคาร์บอนไดออกไซด์สู่อากาศและปรากฏการณ์เรือนกระจกที่ส่งผลให้เกิดภาวะโลกร้อน

ด้าน น.ส.วันดี กุญชรยาคง จุลเจริญ ประธานกรรมการและกรรมการผู้จัดการ บมจ.เอสพีซีจี (SPCG) กล่าวว่า นับเป็นครั้งแรกกับบริษัทอสังหาริมทรัพย์ โดยจะติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์บนหลังคาบ้านทั้งในโครงการเก่าและใหม่ของควอลิตี้ เฮ้าส์ ที่เปิดตัวใหม่เฉลี่ยปีละประมาณ 1,500 ยูนิต ซึ่งคาดว่าจะมีผู้สนใจติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์ในสัดส่วนไม่ต่ำกว่า 5% ทั้งนี้ การติดแผงโซลาร์เซลล์สำหรับหลังคาบ้านนั้นจะมีกำลังการผลิตราว 2-10 กิโลวัตต์ โดยจะขึ้นอยู่กับขนาด ซึ่งจะทำให้ประหยัดค่าไฟฟ้าได้เดือนละ 2,000-6,000 บาทแล้วแต่ขนาดของบ้าน นอกจากนี้ ภายในปี 2558 บริษัทได้ตั้งเป้าหมายมียอดขายแผงโซลาร์เซลล์อยู่ที่ 500 ล้านบาท ขณะที่ในปีที่ผ่านมามียอดขายราว 200 ล้านบาท โดยจะมีการเติบโตทั้งจากโครงการโซลาร์ฟาร์ม และโครงการโซลาร์รูฟ

ขณะเดียวกัน บริษัทได้ปรับแผนการสร้างโรงงานผลิตแผงโซลาร์เซลล์ที่ร่วมกับพันธมิตรญี่ปุ่นฝ่ายละ 50 เปอร์เซ็นต์ จากเดิมที่จะตั้งใน จ.นนทบุรี ด้วยกำลังการผลิตเริ่มต้นที่ 10 เมกะวัตต์ มาเป็นการตั้งโรงงานใน จ.นครราชสีมา ซึ่งมีพื้นที่ใหญ่กว่า และเพิ่มกำลังการผลิตเป็น 100 เมกะวัตต์ ซึ่งคาดว่าจะก่อสร้างแล้วเสร็จและเริ่มผลิตในช่วงต้นปี 2559 ด้วยงบลงทุนราว 500 ล้านบาท พร้อมตั้งเป้าหมายที่จะมีกำลังการผลิตเพิ่มขึ้นเป็น 500 เมกะวัตต์ในระยะเวลา 3 ปี เพื่อรองรับการขยายตลาดในประเทศและประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) ด้วย คาดว่ารายได้ในปีนี้จะทำได้ไม่ต่ำกว่า 5 พันล้านบาท และกำไรสุทธิจะทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ หลังจากรับรู้การผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ 260 เมกะวัตต์เต็มปี ขณะที่วางเป้าหมายจะมีกำลังการผลิตแตะ 500 เมกะวัตต์ในปี 2562 จาก ณ สิ้นปีนี้ที่คาดว่าจะมีกำลังการผลิตทั้งหมด 280-290 เมกะวัตต์

“ปีนี้เรามั่นใจว่ารายได้ของเราจะยังเป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้ ซึ่งมาจากการรับรู้กำลังการผลิต 260 เมกะวัตต์เต็มปี ในส่วนของการเลื่อนการเปิดรับซื้อขายไฟฟ้าของภาครัฐนั้นบริษัทฯ ไม่ได้รับผลกระทบแต่อย่างใด เพราะเราไม่ได้นำโครงการดังกล่าวมาคำนวณในเป้าหมายรายได้ในปีนี้” น.ส.วันดีกล่าว

น.ส.วันดีกล่าวว่า ในส่วนของการร่วมลงทุนในโครงการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ในประเทศญี่ปุ่น คาดว่าจะสรุปรายละเอียดทั้งหมดภายในไตรมาส 3/58 โดยจะมีกำลังการผลิตทั้งหมด 130 เมกะวัตต์ ซึ่งบริษัทถือหุ้นในสัดส่วน 33% และคาดว่าจะใช้งบลงทุนราว 4,000-5,000 ล้านบาท โดยเงินลงทุนดังกล่าวจะมาจากเงินกู้สถาบันทางการเงินในประเทศญี่ปุ่นทั้งหมดเพื่อที่จะไม่ต้องเพิ่มทุนให้เป็นผลกระทบต่อผู้ถือหุ้น ส่วนการลงทุนในประเทศฟิลิปปินส์ ได้ชะลอออกไปจากเดิมที่คาดว่าจะแล้วเสร็จในปลายปีนี้ เนื่องจากมีความเสี่ยงในเรื่องของการได้รับใบอนุญาตซื้อขายไฟฟ้าที่จะออกให้เมื่อโครงการก่อสร้างแล้วเสร็จเท่านั้น ทำให้บริษัทปรับแผนเป็นการร่วมลงทุนในโรงไฟฟ้าที่ผลิตและจำหน่ายไฟฟ้าแล้วแทนการเข้าลงทุนเองทั้งหมด โดยบริษัทฯ คาดว่าจะได้ข้อสรุปในช่วงต้นปี 2559

นอกจากนี้ ในช่วงที่ผ่านมาบริษัทฯ ได้ร่วมมือกับพันธมิตรจากประเทศพม่าเพื่อลงทุนโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ 1 เมกะวัตต์ในเมืองมัณฑะเลย์ โดยบริษัทฯ เข้าถือหุ้นในสัดส่วน 50 เปอร์เซ็นต์ คาดว่าจะใช้เงินลงทุนรวมราว 100 ล้านบาท และคาดว่าจะสามารถเริ่มจำหน่ายไฟฟ้าได้ในช่วงต้นปี 2559 ด้านการขยายกำลังการผลิตในประเทศนั้น ปัจจุบันบริษัทอยู่ระหว่างเจรจาร่วมทุนกับผู้ประกอบการที่ได้รับใบอนุญาตซื้อขายไฟฟ้าโครงการโซลาร์ฟาร์มค้างท่อ 2-3 ราย ซึ่งคาดว่าจะมีกำลังการผลิตราย 30-40 เมกะวัตต์ และน่าจะได้ข้อสรุปภายในปีนี้ สำหรับเงินที่ใช้ในการลงทุนทั้งหมดจะใช้กระแสเงินสดที่มีอยู่กว่า 3,000 ล้านบาท ยกเว้นการลงทุนในประเทศญี่ปุ่นที่จะใช้เป็นเงินกู้
กำลังโหลดความคิดเห็น