ถ่านหินสกปรกที่กำลังเปรอะเปื้อนท่านผู้นำ

เมื่อนายกรัฐมนตรีลงมาโฆษณาชวนเชื่อให้สังคมเห็นว่า ถ่านหินคือคำตอบสุดท้ายของไฟฟ้าไทย ตามบทที่กระทรวงพลังงานและนายทุนพลังงานเขียนบทไว้ ทำให้สนามการขับเคี่ยวการหยุดโรงไฟฟ้าถ่านหินร้อนแรงขึ้นไปอีก

ประเทศไทยมีความหลงผิดทิศและจัดการผิดทางในด้านพลังงานไฟฟ้าที่สำคัญ 2 ประการ คือ

หนึ่ง ศูนย์การค้าขนาดใหญ่เพียงแห่งเดียวใช้ไฟฟ้าเท่ากับจังหวัดเล็กๆทั้งจังหวัด ใช้ไฟฟ้าเท่ากับไฟฟ้าที่ผลิตจากเขื่อนทั้งเขื่อน แต่กลับจ่ายค่าไฟในอัตราต่อหน่วยที่ต่ำกว่าบ้านเรือนทั่วไป ทั้งๆที่ทฤษฎีทั่วโลกตรงกันคือ ยิ่งใช้มากก็ต้องยิ่งต้องจ่ายในอัตราต่อหน่วยที่แพงกว่า เพื่อให้เกิดสำนึกการลดใช้พลังงาน มิเช่นนั้นค่าไฟราคาพิเศษเช่นนี้ สร้างอีกกี่โรงไฟฟ้าก็ไม่พอ ความเย็นฉ่ำของห้างพันล้านในเมืองใหญ่คือความร้อนและมลพิษที่กระทบชุมชนชนบทที่โรงไฟฟ้าตั้งอยู่

สอง ปริมาณความต้องการไฟฟ้าสูงสุดในแต่ละวันนั้น ช่วงบ่ายเป็นช่วงเวลาที่มีความต้องการไฟสูงที่สุด ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่แดดแรงร้อนที่สุด ควรที่จะนำพลังงานแสงอาทิตย์จากการติดตั้งบนหลังคาบ้านมารองรับ peak ตรงนี้ได้ แต่บ้านเราแก้พีคไฟที่มีการใช้ไฟฟ้าสูงสุดในแต่ละวันหรือแต่ละปีด้วยการเพิ่มโรงไฟฟ้าถ่านหิน

หลังคาบ้านกับแผงพลังงานแสงอาทิตย์ (photovoltaic solar power) หรือเซลสุริยะควรเป็นของคู่กัน มีไว้เพื่อการผลิตกระแสไฟฟ้า ในประเทศเยอรมันที่แดดน้อยกว่าไทยมาก มีการติดตั้งเซลสุริยะต่อประชากรสูงที่สุดในโลก ผลิตไฟฟ้าได้ถึง 25,000 เมกะวัตต์ ในช่วงที่แดดสาดแสงแรงจัด หรือเกือบเท่ากับไฟฟ้าที่ผลิตได้ในประเทศไทย

บทเรียนจากประเทศที่พัฒนาแล้วล้วนส่งเสริมการให้ประชาชนพึ่งตนเองด้านพลังงาน ด้วยการส่งเสริมการติดตั้งแผงโซลาร์เซลบนหลังคา ประเทศเบลเยียมใช้สองกลไกในการเพิ่มการติดตั้งโซลาร์เซล คือกลไกที่หนึ่งเขาใช้กลไกราคาค่าไฟที่แพง ยิ่งใช้มากอัตราค่าไปต่อหน่วยจะสูงขึ้น แล้วนำเงินจากค่าไฟแพงและภาษีมาสมทบใช้กลไกการเงินจูงใจให้ติดตั้งโซลาร์เซลไว้บนหลังคา กลไกที่สองคือ การจ่ายเงินคืนให้แก่ผู้ที่ติดตั้งโซลาร์เซลด้วยผ่านบิลค่าไฟ โดยบ้านเรือนพักอาศัยจะได้รับเงินชดเชยคืนทุกๆ 1 กิโลวัตต์ชั่วโมง (KW-h) เป็นเงิน 15-45 ยูโรเซนต์ โดยเงินส่วนนี้จะหักลดจากบิลค่าไฟที่ต้องจ่ายรายเดือน นั่นหมายความว่า หากใครติดแผงโซลาร์บนหลังคา นอกจากลดค่าไฟลงได้แล้ว ยังได้เงินคืนจากการไฟฟ้าด้วย เพราะช่วยให้เขาไม่ต้องสร้างโรงไฟฟ้าเพิ่ม และถ้าเป็นบริษัทก็จะได้รับการลดภาษีด้วย ผลของสองมาตรการนี้รวมกับกระแสพลังงานสะอาด ทำให้มีการติดตั้งเซลสุริยะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง จนในปี 2011 เป็นปีทองของการติดตั้งเซลสุริยะ ปีเดียวมีการติดตั้งรายใหม่มากถึง 880 เมกะวัตต์ หรือเกือบเท่ากับเตานิวเคลียร์ 1 เตาที่ผลิตได้ 1,000 เมกะวัตต์ หรือเท่ากับศักยภาพของโรงไฟฟ้าถ่านหินกระบี่ที่ผลิตได้ 800 เมกะวัตต์ แน่นอนว่าวันที่แดดน้อยไฟฟ้าก็ผลิตได้น้อย แต่หากทุกบ้านติดตั้งย่อมจะไปถึงซึ่งเป้าหมายที่จะยุติโรไฟฟ้าถ่านหินสกปรกลงได้ ซึ่งไม่ไกลเกินจริง

ปัญหาใหม่ปัญหาใหญ่ในยุโรปคือ การมีพื้นที่บนหลังคาไม่เพียงพอต่อการผลิตไฟฟ้าไว้ใช้เอง เทคโนโลยีกระจกหน้าต่างเคลือบเซลสุริยะเพื่อช่วยผลิตกระแสไฟฟ้ากำลังพัฒนาขึ้นมาช่วยเก็บพลังงานแสงอาทิตย์ทุกเม็ดที่สาดแสงมาเป็นพลังงานไฟฟ้า โดยไม่ให้เกิดทัศนะอุจาดที่ทั้งเมืองเต็มไปด้วยแผงโซลาร์เซลตามสนามตามพื้นดิน นี่คือยุโรป ทวีปที่แสงแดดสาดแสงน้อยกว่าเมืองไทยหลายเท่า แต่บ้านเราท่านผู้นำหายใจเข้าออกยังท่องคาถาถ่านหินตามที่ลิ่วล้อติวเข้มชงข้อมูลด้านเดียวให้ฟัง

ถึงเวลาแล้วที่รัฐบาลจะส่งเสริมพลังงานสะอาดที่เขาจูงใจให้ทุกบ้านผลิตเองใช้เองตามปรัชญาพอเพียงและการพึ่งตนเอง แต่เมืองไทยที่แดดทั้งแรงและร้อน ผู้มีอำนาจไฉนจึงคิดถึงแต่โรงไฟฟ้าถ่านหินและนิวเคลียร์

วันนี้ท่านผู้นำลงมาคลุกฝุ่นถ่านหินจนเปรอะเปื้อนไปมากแล้ว จะไม่ดีกว่าหรือหากท่านจะผันตนเองเป็นผู้นำแห่งอนาคตที่ให้ความสำคัญกับพลังแสงอาทิตย์แทนถ่านหินสกปรก

ติดตาม Facebook Fanpage ของ “Quality of Life” ได้ที่