“ซีเจโอ เกาหลี” ยังมั่นใจ “อากู๋” ไม่ทิ้งหุ้น “โอ ช้อปปิ้ง” เหมือนธุรกิจอื่นๆ แน่ มองระยะยาวเติมเต็มช่องจีเอ็มเอ็ม 25 และช่องวัน ล่าสุดปีนี้สร้างผลประกอบการสุดปลื้ม ยอดขายโตอีก 50% สวนกระแสเศรษฐกิจ สิ้นปีรับรายได้ไม่ต่ำกว่า 1,500 ล้านบาท สู่แผนปี 2017 รายได้ทะลุ 3,000 ล้านบาทแน่
จากกระแสความร้อนแรงของอุตสาหกรรมทีวีดิจิตอล โดยเฉพาะค่ายแกรมมี่ ที่มีช่องทีวีดิจิตอลถึง 2 ช่อง ถือเป็นการแบกรับต้นทุนที่ค่อนข้างหนัก ส่งผลให้ปีนี้แกรมมี่ได้มีการตัดแบ่งขายหุ้นในธุรกิจที่ไม่เกี่ยวข้องออกไปหลายอย่าง ล่าสุดกับธุรกิจอีเวนต์ใหญ่ระดับท็อปไฟว์ของโลก อย่าง อินเด็กซ์ วิลเลจ ครีเอทีฟ ก็พร้อมขายทิ้งอย่างไม่เสียดาย เพราะมุ่งให้ 2 ช่องทีวีดิจิตอลเกิดให้ได้ พร้อมลั่นยังเตรียมเทขายธุรกิจที่ไม่เกี่ยวข้องกับทางด้านสื่อและมีเดียออกไปอีก 1-2 รายการในปลายปีนี้อีกนั้น จนเป็นที่จับตามองว่าธุรกิจใดที่นายไพบูลย์ ดำรงชัยธรรม ประธานกรรมการ บริษัท จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ จำกัด (มหาชน) จะขายทิ้งเป็นรายต่อไป
นายซอง นัก เจ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท จีเอ็มเอ็ม ซีเจ โอ ช้อปปิ้ง จำกัด ผู้ดำเนินธุรกิจโฮมชอปปิ้งช่อง “โอ ช้อปปิ้ง” เปิดเผยว่า ช่อง “โอ ช้อปปิ้ง” ถือเป็นธุรกิจหนึ่งที่แกรมมี่ถือหุ้น 51% และซีเจ โอ ถือหุ้น 49% โดยในเชิงธุรกิจแล้วมั่นใจว่าแกรมมี่จะไม่มีทางขายหุ้นบริษัทนี้ทิ้งอย่างธุรกิจอื่นๆ ที่ผ่านมา เพราะหากมองในระดับโกลบอลแล้ว โฮมชอปปิ้งถือเป็นธุรกิจหนึ่งของสถานีโทรทัศน์ที่ช่วยต่อยอดรายได้ และสถานีโทรทัศน์ส่วนใหญ่จะมีโฮมชอปปิ้งเป็นส่วนประกอบหนึ่งที่ช่วยขับเคลื่อนรายได้ให้สถานีโทรทัศน์
ที่สำคัญธุรกิจโฮมชอปปิ้งเป็นอีกหนึ่งธุรกิจที่นายไพบูลย์ต้องการที่จะทำให้เกิดขึ้นมาหลายปีแล้ว ซึ่งปัจจุบันช่อง “โอ ช้อปปิ้ง” ถือว่าประสบความสำเร็จเป็นที่น่าพอใจอย่างมาก มีอัตราการเติบโตอย่างต่อเนื่องทุกปี อย่างไรก็ตาม แม้ว่าแกรมมี่จะมีช่องทีวีดิจิตอลอยู่แล้ว 2 ช่อง แต่สำหรับช่อง “โอ ช้อปปิ้ง” ที่สามารถรับชมได้ทางแพลตฟอร์มเคเบิลทีวีและทีวีดาวเทียมนั้น ในทางบริหารงานจะยังคงช่อง “โอ ช้อปปิ้ง” ในแพลตฟอร์มดังกล่าวไว้อยู่ จะไม่มีการปิดตัวช่อง หรือยกไปทั้งช่องเพื่อไปออกอากาศในช่องจีเอ็มเอ็ม 25 หรือช่องวัน แน่นอน
แต่มีความเป็นไปได้ที่อาจจะนำรายการแนะนำสินค้าบางรายการไปออกอากาศในลักษณะเช่าเวลาของทางสถานีฯ หรือมีความร่วมมือกันในการพัฒนาการ ไท-อิน หรือเป็นสปอนเซอร์ให้กับบางรายการ ซึ่งขณะนี้กำลังอยู่ในระหว่างศึกษาความเป็นไปได้ โดยอาจจะผลิตรายการขึ้นมาใหม่ หรือไท-อินในรายการเดิมที่มีอยู่ เช่น กลุ่มรายการละครประเภทซิตคอม เป็นต้น จากที่ผ่านมาได้มีความร่วมมือกันบ้างแล้ว รวมถึงมีการโปรโมตช่อง “โอ ช้อปปิ้ง” จากทั้ง 2 ช่อง ให้เป็นที่รู้จักมากขึ้น
นายซอง นัก เจ กล่าวต่อว่า สำหรับแผนการดำเนินงานของช่อง “โอ ช้อปปิ้ง” ในปีนี้ยอมรับว่าสภาพเศรษฐกิจไม่ค่อยดี กำลังซื้ออาจจะชะลอการใช้เงินไปบ้าง แต่สำหรับ “โอ ช้อปปิ้ง” ได้มีการปรับแผนการขายสินค้าและแพกเกจขายให้เล็กลง มีราคาที่ผู้บริโภคพร้อมจ่าย และมีความน่าสนใจด้วยข้อมูลสินค้าจริง จากการที่ให้ความสำคัญต่อตัวสินค้า เน้นสินค้าที่ผู้บริโภคต้องการ ไม่ใช่สินค้าที่เราอยากขาย
ทั้งปีนี้มีสินค้าที่จำหน่ายรวมกว่า 1,000 รายการ มั่นใจว่าถึงสิ้นปีบริษัทจะมีรายได้เติบโตขึ้นอีก 50% จากปีก่อนที่ปิดรายได้ไป 1,130 ล้านบาท หรือน่าจะมีรายได้ไม่ต่ำกว่า 1,500 ล้านบาท จากปีก่อนโต 100% ด้วยฐานที่ยังเล็กอยู่ และหลังจากนี้หวังว่ายังจะมีอัตราการเติบโตต่อเนื่องไม่ต่ำกว่า 20% ทุกปี หรือภายในปี 2017 มั่นใจว่าจะมีรายได้ถึง 3,000 ล้านบาท