“มะเร็ง” เป็นโรคร้ายที่คร่าชีวิตคนไทยไปเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะ “มะเร็งปอด” ซึ่งพบได้มากในประเทศไทยและมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องโดยพบมากเป็นอันดับ 2 ในเพศชายและอันดับ 4 ในเพศหญิง ทั้งยังเป็นมะเร็งที่มีอัตราการเสียชีวิตสูงถึง 70% เนื่องจากเป็นมะเร็งที่รักษาให้หายขาดยาก และผู้ป่วยมักจะเข้ารับการรักษาในระยะท้ายๆ
แต่ละปีประเทศไทยมีผู้ป่วยมะเร็งปอดรายใหม่เฉลี่ยประมาณ 1.8-2 หมื่นรายต่อปี แต่ไม่ว่าจะป่วยเป็นมะเร็งปอดระยะใดก็มีหนทางในการดูแลรักษาและส่งผลให้มีชีวิตที่ยืนยาว หรือดำรงชีวิตได้ดีขึ้นเมื่อได้รับการวินิจฉัยระยะแรกและมีการรักษาที่ถูกต้อง
“รศ.นพ.วิโรจน์ ศรีอุฬารพงศ์” นายกสมาคมมะเร็งวิทยาสมาคมแห่งประเทศไทย และเลขาธิการศูนย์โรคมะเร็งครบวงจรแห่งโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ กล่าวว่า มะเร็งปอดพบมากในผู้สูงอายุ เฉลี่ยประมาณ 45-60 ปี โดยการสูบบุหรี่เป็นปัจจัยเสี่ยงสำคัญที่ทำให้เกิดโรคมะเร็งปอดเนื่องจากในบุหรี่มีสารก่อมะเร็งอยู่หลายชนิด ยิ่งสูบนานก็ยิ่งมีความเสี่ยงสูง แม้ปัจจุบันจะมีการรณรงค์งดสูบบุหรี่มาอย่างต่อเนื่อง แต่ยังพบว่าผู้ป่วยมะเร็งปอดมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น เพราะนอกจากการสูบบุหรี่แล้ว ยังมีปัจจัยเสี่ยงอื่นๆ ที่เป็นสาเหตุสำคัญของการเกิดมะเร็งปอดได้และมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น เช่น บุหรี่มือสอง (ผู้ที่อยู่ภายในแวดล้อมของคนสูบบุหรี่) มลพิษทางอากาศ โดยเฉพาะในเมืองใหญ่ผู้คนหนาแน่น หรือเขตอุตสาหกรรม ควันไฟจากการเผาขยะการเผาป่า หรือกิจการทางการเกษตร เป็นต้น
มะเร็งปอดตรวจพบในระยะเริ่มแรกได้ยากเพราะอาการจะไม่ปรากฏในช่วงแรก ดังนั้นผู้ที่สูบบุหรี่จัดอย่างน้อย 1 ซองต่อวันติดต่อกันเป็นเวลาอย่างน้อย 30 ปีถือเป็นผู้มีความเสี่ยงสูงที่จะเป็นมะเร็งปอด ควรได้รับการตรวจคัดกรองมะเร็งปอดสม่ำเสมออย่างน้อยปีละ 2 ครั้ง เพราะหากตรวจพบในระยะเริ่มแรกจนถึงระยะที่ 3 เมื่อได้รับการรักษาอย่างทันท่วงทีจะมีโอกาสสูงที่จะสามารถหายเป็นปกติได้
ตรงกันข้าม ผู้ป่วยมะเร็งปอดที่มีการแพร่กระจายของโรคแล้วหากไม่ได้รับการรักษาผู้ป่วยอาจจะเสียชีวิตภายในเวลา 6 เดือน ทั้งนี้ สาเหตุที่ผู้ป่วยไม่ยอมเข้ารับการรักษาเพราะท้อถอยหมดกำลังใจและกลัวผลข้างเคียงจากการรักษา หรือแพ้ยาเคมีบำบัด เช่น ปวดท้อง อาเจียน อ่อนเพลีย ผมร่วง ฮอร์โมนเปลี่ยน จนผู้ป่วยบางรายไม่ยอมรักษาต่อและเกิดการสูญเสียชีวิตในที่สุด
“ผู้ป่วยมะเร็งปอดหากได้รับการตรวจรักษาอย่างถูกวิธีจะช่วยให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีและยืนยาวขึ้นได้ เพราะการรักษามะเร็งปอดในปัจจุบันมีการพัฒนากว่าเมื่อก่อนมากและมีอยู่หลายวิธี ได้แก่ การผ่าตัดเป็นวิธีการที่ได้ผลดีที่สุดหากตรวจพบในระยะเริ่มแรก ในปัจจุบันมีเทคนิคการผ่าตัดส่องกล้องทำให้ผู้ป่วยฟื้นตัวเร็ว การฉายแสงด้วยเครื่องฉายรังสีที่มีความแม่นยำสูง ควบคุมด้วยเครื่องประมวลผลคอมพิวเตอร์ การใช้ยาเคมีบำบัด และการใช้ยาแบบที่ให้ผลเฉพาะจุดซึ่งเป็นยาที่ออกฤทธิ์ทำลายเฉพาะเซลล์มะเร็ง หรือ Targeted Therapy ยาเคมีบำบัดที่ใช้รักษาโรคมะเร็งปอดในปัจจุบันมีการพัฒนาตัวยาเพื่อลดผลข้างเคียงที่เป็นอุปสรรคต่อการรักษา อาทิเช่น เส้นเลือดอักเสบ ผมร่วง ทำให้มีผลข้างเคียงน้อยลงหรือไม่มีเลย ซึ่งทำให้การรักษาโรคมะเร็งมีประสิทธิภาพสูงขึ้น ผลข้างเคียงลดลง” รศ.นพ.วิโรจน์ กล่าวและเสริมว่า
หลังการรักษามะเร็งปอดระยะเริ่มต้นในช่วง 5 ปีแรก แพทย์จะมีการเฝ้าระวังและติดตามผลการรักษาเพื่อให้มั่นใจว่าผู้ป่วยจะหายขาด หรือตรวจพบโรคที่กลับเป็นซ้ำได้เร็วขึ้น โดยผู้ป่วยจะมีส่วนร่วมในการดูแลรักษาเพื่อทำให้มีสุขภาพแข็งแรงขึ้น ได้แก่ เลิกการสูบบุหรี่ รับประทานอาหารที่มีสารอาหารครบถ้วน ออกกำลังกายและพักผ่อนให้เพียงพอซึ่งจะช่วยให้มีสุขภาพแข็งแรงและต่อสู้กับโรคภัยไข้เจ็บได้