“การให้ร้ายหรือกล่าวโจมตีนั้นไม่ได้ทำให้ลูกค้าอยากซื้อสินค้าของเรามากขึ้น แต่กลับสร้างความไม่มั่นใจในตัวสินค้าของร้านค้าออนไลน์ทั้งหมดอีกด้วย” “คนรวยเงินล้น คนจนหนี้ท่วม”
เสียงโอดครวญจากพ่อค้าแม่ขายและผู้ประกอบการดังระงมกันทั่วประเทศจากพิษเศรษฐกิจฝืดตัวต่อเนื่อง เห็นได้จากอัตราการเติบโตของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ หรือ GDP ที่ลดลงตั้งแต่ปี 55 คือร้อยละ 6.4 เหลือร้อยละ 2.9 ในปี 56 และร้อยละ 0.7 ในปี 57 ทำให้ประชาชนในประเทศเริ่มเก็บออมเงินและไม่จับจ่ายใช้สอยอย่างเป็นปกติ อีกทั้งวิกฤตการณ์ทางการเงินจากประเทศกรีซที่ยังไม่มีทีท่าว่าจะเจอทางออก ประกอบกับความวุ่นวายของระบบการเมืองประเทศไทยเป็นปัจจัยที่สร้างความกังวลให้แก่นักลงทุนทั้งหลายทั่วโลกในการชะลอการลงทุนในประเทศไทยและหาทางเลือกใหม่ๆ ที่สร้างความเชื่อมั่นในการลงทุนให้แก่พวกเขาได้
แม้ว่าเศรษฐกิจของโลกและภายในประเทศกำลังประสบปัญหาอย่างหนัก แต่ยังมีธุรกิจหนึ่งที่ยังไปได้สวยและกำลังเติบโตอย่างก้าวกระโดดสวนกระแสโลกกันเลยทีเดียว นั่นคือธุรกิจ “ออนไลน์” ซึ่งใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีการสื่อสารที่พัฒนาอย่างรวดเร็วในทศวรรษที่ผ่านมาจนสามารถสร้างตลาดซื้อขายที่ไม่ต้องพึ่งพาตัวกลาง (distributor) ประหยัดค่า “แปะเจี๊ยะ” และค่าพื้นที่ในการวางสินค้าไปได้เยอะ ทำให้พ่อค้าแม่ค้าได้ผลกำไรจากการขายสินค้าอย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย และยังสามารถเข้าถึงลูกค้าได้อย่างง่ายดายผ่านการแชตในโลกโซเชียล
ธุรกิจออนไลน์ไม่ง่ายอย่างที่คิด
นางสาวศิรินทรา เส็งสิน หรือที่รู้จักกันดีในนาม ปูนิ่ม ประธานบริษัทโอ้โห บายปูนิ่ม จำกัด ที่ถือได้ว่าเป็นบริษัทจำหน่ายสินค้าผ่านช่องทางออนไลน์อันดับหนึ่งของประเทศไทยในปัจจุบันนี้ กล่าวว่า คนไทยเริ่มให้ความสนใจในการซื้อ-ขายสินค้าต่างๆ ผ่านทางออนไลน์มากขึ้น เนื่องจากสามารถลดต้นทุนในเรื่องของหน้าร้านและการจ้างบุคลากร แล้วยังสามารถทำการค้าขายกับคนทั้งประเทศได้เพียงแค่ติดต่อกันผ่านทางสมาร์ทโฟนเท่านั้น จุดเด่นของธุรกิจออนไลน์เป็นช่องทางที่เจ้าของหรือผู้ขายสามารถเข้าถึงผู้ซื้อได้ง่ายดาย สะดวก รวดเร็ว และเป็นกันเอง สร้างความสัมพันธ์กับลูกค้าได้โดยตรงและไม่มีค่าใช้จ่าย หรือมีค่าใช้จ่ายน้อยมากเมื่อเทียบกับการทำธุรกิจในรูปแบบเดิม ผู้ขายสามารถให้ข้อมูลลูกค้าได้อย่างแม่นยำและรวดเร็ว นอกจากนี้ยังสามารถสร้าง Brand Loyalty ได้โดยไม่ยากเย็นนัก
การทำธุรกิจออนไลน์นั้นมีสิ่งหนึ่งที่เป็นอุปสรรคอันใหญ่หลวง นั่นก็คือ “ความน่าเชื่อถือ” ปูนิ่มกล่าวเสริมว่า เพราะการทำธุรกิจออนไลน์แม้ผู้ซื้อและผู้ขายจะติดต่อกันโดยตรงแต่ก็แค่ในโลกออนไลน์ ซึ่งผู้ซื้อไม่สามารถเห็น จับต้อง หรือสัมผัสกับสินค้าได้โดยตรงเหมือนกับการขายของในรูปแบบปกติ นั่นอาจทำให้เกิดความไม่แน่ใจในคุณภาพและคุณลักษณะของสินค้าได้ 100% ปูนิ่มให้ความสำคัญต่อตรงนี้มาก เห็นว่ามันคือโอกาสให้เราได้สร้างความเชื่อมั่นในตัวผู้ขายหรือในตัวบริษัท
เติบโตจนก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำในธุรกิจออนไลน์ของประเทศไทย
ปูนิ่มไม่มีเคล็ดลับอะไรในการทำธุรกิจหรอก มีแต่ข้อปฏิบัติซึ่งปูนิ่มยึดถือเอาไว้ นั่นก็คือ “แข่งกับตัวเองเท่านั้น” ปูนิ่มเชื่อว่าการมองคู่แข่งหรือการแข่งกับคนอื่นมันไม่สามารถทำให้เราเก่งกว่าเขาได้ อย่างมากที่สุดก็คือเท่ากับเขา เพราะเราถูก “กรอบ” ของคู่แข่งมาครอบการทำงานของเราไว้ เราจะมองแต่เขาจนเราลืมมองไปข้างหน้า แต่หากเราแข่งกับตัวเองไปเรื่อยๆ เราก็จะพัฒนาไปเรื่อยๆ ในวิถีของเราเอง อะไรที่เราทำได้ดีก็รักษาไว้ อะไรที่เราขาดเราก็พัฒนาขึ้นมา แล้วในที่สุดเราก็จะใช้ความเป็นตัวของตัวเองก้าวนำผู้อื่นขึ้นมาเป็นผู้นำได้ในที่สุด
ข้อห้ามสำคัญ นักธุรกิจออนไลน์
สิ่งหนึ่งที่ปูนิ่มไม่เคยและไม่คิดจะทำเลย นั่นก็คือ “การเหยียบผู้อื่น” โดยปกติหากให้พูดเปรียบเทียบสินค้าที่คล้ายคลึงกันกับอีกร้านหนึ่ง ส่วนใหญ่ก็จะเริ่มด้วยการโจมตีสินค้าของอีกฝ่ายด้วยข้อเสียต่างๆ นานาเพื่อหวังว่าลูกค้าจะหันมามองแต่สินค้าของเรา ซึ่งสิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่ไม่ควรทำอย่างยิ่ง การให้ร้ายหรือกล่าวโจมตีนั้นไม่ได้ทำให้ลูกค้าอยากซื้อสินค้าของเรามากขึ้น แต่กลับสร้างความไม่มั่นใจในตัวสินค้าของร้านค้าออนไลน์ทั้งหมดอีกด้วย เราควรจะนำเสนอว่าทำไมลูกค้าควรจะซื้อของเราดีกว่า
อนาคตอันสดใสและโอกาสอีกมากมายในโลกของธุรกิจออนไลน์
ตอนนี้ยังถือเป็นแค่จุดเริ่มต้นของ Life Cycle สำหรับธุรกิจออนไลน์ เห็นได้จากข้อมูลของกรมพัฒนาธุรกิจการค้าว่าจำนวนร้านค้าออนไลน์มีมากถึงหลักล้านเมื่อต้นปี 2015 อีกทั้งสมาคมผู้ประกอบการพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ไทยยังเผยว่าอัตราการเติบโตของตลาดออนไลน์สูงถึง 40% ในปี 2557 และมีแนวโน้มว่าจะสูงกว่าเดิมในปี 2558 ปูนิ่มเชื่อว่าในอนาคตอันใกล้นี้บริษัทใหญ่ๆ จะเริ่มปรับตัวและให้ความสำคัญต่อธุรกิจในโลกออนไลน์มากขึ้น ตลาดออนไลน์จะขยายตัวอย่างต่อเนื่องและรวดเร็ว เพราะการเข้ามาของบริษัทดังกล่าวเมื่อผู้ขายเยอะขึ้นก็จะดึงดูดผู้คนให้เข้ามาจับจ่ายใช้สอยในตลาดแห่งนี้มากขึ้นเช่นกัน และนั่นหมายถึงโอกาสทางธุรกิจอันมหาศาลในอนาคตที่ไม่อาจคาดประมาณได้เลยทีเดียว
Side bar
โอ้โห บายปูนิ่ม เป็นธุรกิจออนไลน์ที่เคยประสบวิกฤตการณ์ด้านสินค้า และภาพลักษณ์เมื่อปลายปี 2557 ทำให้บริษัทต้องยกเครื่องธุรกิจใหม่ แก้ไขข้อผิดพลาดด้านผลิตภัณฑ์ ฉลาก และระบบบริหารจัดการภายใน จนกลับมาเริ่มขายสินค้าได้ใหม่ในเดือนกุมภาพันธ์ 2558 พร้อมกับทำประกันภัยให้ผู้บริโภค ซึ่งถือเป็นมิติใหม่ของวงการอาหารเสริมประเทศไทย และยังสามารถเรียกฟื้นความเชื่อมั่นจากลูกค้ากลับมาได้ ทำให้ยอดขายเติบโตสวนกระแสขึ้นถึง 40% ในไตรมาสที่ 2 ของปี 2558