ASTVผู้จัดการรายวัน - เจาะลึกตลาด CLMV ด่านแรกสู่ AEC พบเป็น 4 ประเทศเติบโตเร็วสุดของโลกใน 10 ปีจากนี้ หัวใจสำคัญอยู่ที่อินไซด์ของแต่ละประเทศ โอกาสทอง FMCG ประเทศที่ไทยเข้าทำตลาดง่ายสุดในกัมพูชา ลาว พม่า และเวียดนาม ตามลำดับ พบมูลค่าเม็ดเงินโฆษณารวมใน 4 ประเทศอยู่ที่ 4.4 หมื่นล้านบาท หรือกว่า 40% ของโฆษณารวมในไทย
นายสันติพงศ์ พิมลแสงสุริยา ประธานกรรมการบริหาร กลุ่มบริษัท ริเวอร์ออคิด จำกัด เปิดเผยว่า บริษัทมีความเชี่ยวชาญในการให้บริการด้านการสื่อสารการตลาดที่ใหญ่และครบวงจรที่สุดในกลุ่มประเทศ CLMV โดยพบว่าทั้ง 4 ประเทศนี้ถือเป็นกลุ่มประเทศที่มีเศรษฐกิจของประเทศเติบโตเร็วสุดจากทั้งหมด 15 ประเทศทั่วโลกในช่วง 10 ปีหลังจากนี้ ที่สำคัญไทยถือเป็นศูนย์กลางของประเทศเหล่านี้ จึงมีโอกาสและความได้เปรียบในการเข้าไปทำตลาด และมองเป็นด่านแรกของการเข้าสู่ตลาดเออีซีต่อไป แต่การเข้าไปทำตลาดใน 4 ประเทศนี้จะต้องมีความเข้าใจแบบอินไซด์ในตัวผู้บริโภคในแต่ละประเทศ เนื่องจากมีความแตกต่างและความคล้ายคลึงกันกับไทยหลายด้าน
จากข้อมูลสำรวจของ “ริเวอร์ออคิด” เชื่อว่าในช่วง 10 ปีหลังจากนี้กลุ่มประเทศ CLMV จะมีการเปลี่ยนแปลงที่น่าสนใจหลายด้าน เช่น
1. จำนวนประชากรจาก 4 ประเทศจะเติบโตขึ้นอีก 33% จากปัจจุบันที่มีอยู่ราว 165 ล้านคน มากกว่าประเทศไทย 2.5 เท่า ส่วนในแง่ของอายุประชากร โดยเฉลี่ยคนไทยอยู่ที่ 33.7 ปี กัมพูชา 22.5 ปี ลาว 19.5 ปี พม่า 29.9 ปี และเวียดนาม 27.4 ปี
2. ภาครวมทางจีดีพีเศรษฐกิจจะเติบโตขึ้นมากกว่า 100% จากปัจจุบันมีมูลค่า 2.76 แสนล้านเหรียญสหรัฐ ขณะที่ไทยอยู่ที่ 3.73 แสนล้านเหรียญเหรียญสหรัฐ
3. กลุ่มชนชั้นกลางจะเติบโตขึ้น 300%
4. ภาคการท่องเที่ยวจะเติบโตขึ้น สายการบินจะเติบโตขึ้น 400% จากจำนวนเที่ยวบินที่ต่ำมากในปัจจุบัน
5. ฮานอย จะเป็นเมืองที่มีการเติบโตทางเศรษฐกิจเร็วที่สุดในโลก
6. อินเทอร์เน็ตจะเป็นสื่อที่เติบโตอย่างก้าวกระโดด
7. CLMV เป็น 4 ใน 15 ประเทศของโลกที่มีอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจเร็วที่สุด
จากข้อมูลที่กล่าวมา พบว่า 4 ประเทศที่ไทยจะเข้าไปทำตลาดง่ายสุด คือ ลาว กัมพูชา พม่า และเวียดนาม ตามลำดับ ซึ่งแต่ละประเทศมีโอกาสและสิ่งที่ควรระวังแตกต่างกัน เริ่มจาก
1.ลาว เฉลี่ยประชากรเด็กมีสูงสุด ส่งผลให้กลุ่มแรงงานมีอายุที่ยาวนานขึ้น เข้าสู่กลุ่มประเทศสูงวัยช้าว่าประเทศอื่นๆ อัตราการเติบโตทางจีดีพีของประเทศอยู่ที่ 7.2% มากกว่าไทย 10 เท่า เป็นประเทศที่ไทยเข้าทำตลาดง่ายสุด เนื่องจากคนลาวชอบดูช่องโทรทัศน์รายการไทย แม้ภาครัฐเข้มงวดเรื่องโฆษณา แต่เชื่อมั่นในแบรนด์ไทย สิ่งที่ควรระวังคือ ไม่ควรมองว่าลาวคือหนึ่งจังหวัดของไทย การลงทุนต้องมีความชัดเจนและมีแผนระยะยาวไม่ควรทำแบบระยะสั้น
2.กัมพูชา คนกัมพูชาติดอยู่กับปัจจุบันมากกว่าอดีต ให้ความสำคัญต่อนครวัด, นครธม และสถาบันพระมหากษัตริย์ เชื่อใจคนยาก ไม่ชอบการรอคอย สื่อทีวีเป็นสื่อที่น่าเชื่อถือสูงสุด เชื่อมั่นในแบรนด์ไทย ไม่มีระบบเซ็นเซอร์โฆษณา เปิดรับนักลงทุนแบบ 100% สิ่งที่ควรระวัง เช่น เนื้อหาอ่อนไหว ไม่ควรกล่าวอ้างเกินจริง และมีเงื่อนไขเวลานานเกินไป
3. พม่า หลังจากเปิดประเทศที่การลงทุนทะลักเข้าไปมากมาย ส่งผลให้เกิดดีมานด์มากกว่าซัปพลาย อำนาจต่อรองเป็นของผู้ซื้อมากกว่าผู้ขาย ไทยต้องมีเงินทุนและกระแสเงินสดสูง เพราะไม่รับเครดิต ไม่มีระบบธนาคาร และมีการเปลี่ยนแปลงกฎหมายเป็นรายสัปดาห์ ทั้งยังมีกฎหมายเฉพาะใน 14 รัฐทุ่มด้วยกฎหมายกลางอีกทีหนึ่งด้วย สินค้าไทยได้รับการตอบรับและควรวางโพซิชันนิ่งเป็นแบรนด์พรีเมียม เพราะต้นทุนสูงกว่า 10 เท่า สิ่งที่ควรระวังคือ ความเข้าใจในตัวตนของพม่าที่แตกต่างทางด้านชาติพันธุ์ การสร้างแบรนด์ต้องวางกลยุทธ์และลงทุนล่วงหน้าแบบระยะยาว
4. เวียดนาม พฤติกรรมระหว่างเวียดนามเหนือกับใต้แตกต่างกัน เชื่อมั่นชาตินิยม กระแส V-POP มีบทบาทสำคัญทั้งในประเทศและต่างประเทศมากขึ้น มองสินค้าไทยไม่ได้มีคุณภาพไปมากกว่าของเวียดนาม ความซับซ้อนของสื่อมีสูง มีฟรีทีวีที่เป็นทีวีดิจิตอลกว่า 75 ช่อง และสื่อดิจิตอลมาแรง แต่ภาครัฐมีระบบเซ็นเซอร์ควบคุมสื่ออย่างรัดกุม สิ่งควรระวังคือ เวียดนามและไทยวัฒนธรรมแตกต่างกันมาก การลงทุนอาจจะต้องมีสูง และรายรับอาจจะน้อยเพราะการแข่งขันและความไม่เชื่อมั่นในแบรนด์ไทย
อย่างไรก็ตาม ในแง่ของเม็ดเงินโฆษณารวม ปัจจุบันอุตสาหกรรมโฆษณารวมของไทยมีมูลค่า 1.13 แสนล้านบาท ส่วนใน 4 ประเทศ เชื่อว่าน่าจะมีมูลค่ารวมอยู่ที่ 4.4 หมื่นล้านบาท หรือคิดเป็น 40% ของไทย แบ่งเป็น
1.ลาว ตลาดรวมโฆษณามูลค่า 1 พันล้านบาท เติบโตปีละ 5-7% สื่อหลักคือ เอาต์ออฟโฮม 40% ส่วนทีวีประมาณ 30-40% อัตราโฆษณาในสื่อทีวีไพรม์ไทม์อยู่ที่ 200 เหรียญสหรัฐต่อ 30 วินาที
2.กัมพูชา ตลาดรวมโฆษณามูลค่า 3 พันล้านบาท เติบโตปีละ 5-7% สื่อหลักคือ ทีวี 70% และอัตราโฆษณาในสื่อทีวีไพรม์ไทม์อยู่ที่ 250เหรียญสหรัฐต่อ 30 วินาที
3.พม่า ตลาดรวมโฆษณามูลค่า 1 หมื่นล้านบาท เติบโต 100% สื่อหลักคือทีวี 50% อัตราโฆษณาในสื่อทีวีไพรม์ไทม์สำหรับสินค้าอิมพอร์ต 1.5 พันเหรียญสหรัฐต่อ 30 วินาที ส่วนสินค้าที่มีการลงทุนผลิตในประเทศ 200 เหรียญสหรัฐต่อ 30 วินาที
4.เวียดนาม ตลาดรวมโฆษณามูลค่า 3 หมื่นล้านบาท เติบโต 10% สื่อหลักคือ ทีวี 50% อัตราโฆษณาในสื่อทีวีไพรม์ไทม์อยู่ที่ 3,000 เหรียญสหรัฐต่อ 30 วินาที
จากข้อมูลที่เกิดขึ้นมองว่าเป็นโอกาสที่สำคัญของสินค้าและบริการของไทยในทุกกลุ่มอุตสาหกรรม โดยเฉพาะสินค้ากลุ่มอุปโภคบริโภค อย่าง FMCG ซื้อมาขายไป จะมีโอกาสมากสุด รองลงมาคือ กลุ่มสินค้าที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีและโทรศัพท์มือถือ รวมถึงกลุ่มเอสเอ็มอี อย่างร้านอาหาร และเชนร้านอาหารต่างๆ เป็นต้น ซึ่งนักลงทุนส่วนใหญ่จะเริ่มเข้ามาทำตลาดในบางประเทศก่อนแล้วจึงขยายสู่ใน 4 ประเทศมากขึ้น
นายสันติพงษ์กล่าวต่อว่า ปัจจุบันกลุ่มบริษัทเอเยนซีที่เข้ามาลงทุนใน CLMV ส่วนใหญ่จะเป็นกลุ่มบริษัทข้ามชาติรายใหญ่ อย่าง WPP เป็นต้น ส่วนของไทยพอจะเห็นบ้างแต่น้อยมาก นอกจากนั้นจะเป็นบริษัทท้องถิ่นของแต่ละประเทศ ที่สำคัญยังไม่มีรายใดให้บริการแบบครบวงจร เช่น “ริเวอร์ออคิด” ที่มีบริษัทในเครือกว่า 10 บริษัท และมีเฮดออฟฟิศทั้ง 4 ประเทศ ดังนั้น แผนการดำเนินงานของ “ริเวอร์ออคิด” จึงมีทั้งช่วยประสานงานกับบริษัทเหล่านี้และแข่งขันไปพร้อมๆ กัน
ขณะที่รายได้ในปีนี้เชื่อว่าจะทำได้ไม่ต่ำกว่า 1 พันล้านบาท เติบโตขึ้น 25% มาจาก พม่า 30% เวียดนาม 30% กัมพูชา 30% และลาว 10% ซึ่งรูปแบบการให้บริการหลักจะมาจากสื่อ “อะโบฟเดอะไลน์” 30% “บีโลว์เดอะไลน์” 30% อื่นๆ เช่น วิจัยตลาด, ประชาสัมพันธ์ ผลิตสื่อ อีก 40% โดยกลุ่มลูกค้าส่วนใหญ่เป็นบริษัทข้ามชาติ 70% ไทย 15% และบริษัทท้องถิ่น 15%
ทั้งนี้ มองว่าควรมีอัตราการเติบโตของรายได้ประมาณ 15-20% ต่อปี หรือเป็น 2 เท่าของ GDP รวมใน CLMV ที่เติบโต 7-8% ต่อปี