ผู้นำตลาดผลิตภัณฑ์กลุ่มปลั๊กไฟฟ้าต่อพ่วงและอุปกรณ์ป้องกันภายในบ้านและกลุ่มอุตสาหกรรม ทุ่มงบฯ 25 ล้านบาทรีแบรนด์ครั้งใหญ่ในรอบ 10 ปี ชูจุดเด่นด้านคุณภาพระดับพรีเมียม หลังพบปัญหาถูกชิงตลาดจากสินค้านำเข้าจากจีนและสินค้าลอกเลียนแบบคุณภาพต่ำ เผยตลาดเติบโตต่อเนื่อง 20-30% ตามการขยายตัวของตลาดเครื่องใช้ไฟฟ้า เดินหน้าเพิ่มกำลังการผลิตอีกหนึ่งเท่าตัว หวังรุกตลาดเมืองเบียร์-สิงคโปร์-มาเลย์-อินโดฯ พร้อมสัดส่วนส่งออก 40%
นายโชติธนินทร์ อรุณพงศ์จรัส ประธานกรรมการ บริษัท ทีซี แอดว๊านด์ อินดัสตรี แอนด์ ซัพพลาย จำกัด ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์กลุ่มปลั๊กไฟฟ้าต่อพ่วงและอุปกรณ์ป้องกันภายในบ้านและกลุ่มอุตสาหกรรม (ล้อไฟฟ้าอุตสาหกรรม) ภายใต้แบรนด์ “ELECTON” (อิเล็คตั้น) เปิดเผยว่า หลังจากที่บริษัทฯ ดำเนินธุรกิจมาเป็นเวลา 10 ปี ปัจจุบันได้จัดตั้งบริษัทฯ ใหม่เพิ่มขึ้นอีก 2 บริษัทเพื่อบริหารงานแต่ละส่วนอย่างชัดเจน คือ บริษัท อิเล็คตั้น อินเทลลิเจนมาเก็ตติ้ง จำกัด ทำหน้าที่จัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์และดูแลตลาดภายในประเทศ และ บริษัท อิเล็คตั้น อินเตอร์เนชั่นแนล กรุ๊ป จำกัด ทำหน้าที่ดูแลตลาดส่งออกและขยายตลาดต่างประเทศใหม่ๆ โดย บริษัท ทีซี แอดว๊านด์ อินดัสตรีฯ ทำหน้าที่ผลิต
ตลอดระยะเวลาการดำเนินงาน 10 ปีที่ผ่านมา ผลิตภัณฑ์ “ELECTON” ได้รับการตอบรับอย่างดีจากผู้บริโภค ทั้งยังมีฐานลูกค้าประจำเป็นจำนวนมากที่มีความเชื่อมั่นในคุณภาพ แต่เนื่องจากบริษัทฯ ไม่เคยดำเนินงานด้านการสื่อสารการตลาดกับผู้บริโภค จึงทำให้ช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมาต้องประสบปัญหาการแย่งชิงตลาดจากสินค้าลอกเลียนแบบและสินค้านำเข้าจากประเทศจีนที่มีคุณภาพต่ำ บริษัทฯ จึงมีนโยบายรีแบรนด์ พร้อมสร้างภาพลักษณ์สินค้าและการรับรู้ให้ผู้บริโภคในวงกว้าง โดยใช้งบประมาณการตลาด 25 ล้านบาท สูงกว่าทุกปีที่ผ่านมาซึ่งใช้ประมาณปีละ 10 ล้านบาท
การรีแบรนด์ครั้งนี้จะเน้นจุดเด่นด้านสินค้าคุณภาพระดับพรีเมียม พร้อมให้ความสำคัญในเรื่องที่มาและคุณภาพสินค้า รวมถึงแผนงานในอนาคต ตลอดจนคุณภาพชีวิตและความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของลูกค้าผู้ใช้ผลิตภัณฑ์กลุ่มปลั๊กไฟฟ้าต่อพ่วงและอุปกรณ์ป้องกันภายในบ้าน ภายใต้แนวคิด “ELECTON, Power Up Your Life” โดยจะมีการเปิดตัวอย่างเป็นทางการในวันที่ 27 มิ.ย. ศกนี้ ณ ศูนย์การค้าสยามพารากอน หลังจากนั้นจะดำเนินงานกิจกรรมการตลาดครอบคลุมทั้ง Above the Line และ Below the Line รวมถึงช่องทางออนไลน์ โดยจะมีการเปิดตัวภาพยนตร์โฆษณาครั้งแรกในช่วงปลายปี 2558
“นอกจากผลิตภัณฑ์ ELECTON ที่เน้นตลาดระดับพรีเมียมซึ่งมีราคาสูงกว่าสินค้านำเข้าจากประเทศจีนประมาณ 10-20% แล้ว บริษัทฯ ยังมีสินค้าครอบคลุมตั้งแต่ตลาดล่างและกลางภายใต้แบรนด์ Tistec, Yama และอื่นๆ รวม 7 แบรนด์ โดยภายในปี 2558 จะมีการรีแบรนด์มาใช้เป็น ELECTON”
นายโชติธนินทร์กล่าวด้วยว่า ตลาดผลิตภัณฑ์กลุ่มปลั๊กไฟฟ้าต่อพ่วงและอุปกรณ์ป้องกันภายในบ้าน หรือ Consumer Electric ประเภท Power Strip for Computer and Home Appliance และกลุ่มอุตสาหกรรมมีมูลค่าประมาณ 1 พันกว่าล้านบาท แต่ละปีจะมีอัตราการเติบโตแปรผันตามการขยายตัวของตลาดเครื่องใช้ไฟฟ้าประเภทต่างๆ เฉลี่ยเพิ่มขึ้นปีละประมาณ 20-30% โดยปัจจุบันมีสินค้าแบรนด์ต่างๆ อยู่ในตลาดประมาณ 30 แบรนด์
“ในส่วนของ ELECTON ถือเป็นผู้นำตลาดภายในบ้านด้วยส่วนแบ่ง 68% ส่วนตลาดอุตสาหกรรมมีส่วนแบ่ง 70% โดยในปี 2557 มียอดขายประมาณ 100 ล้านบาท เติบโตขึ้น 15% เนื่องจากได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวจากปกติที่เติบโตปีละประมาณ 30-40% ส่วนผลการดำเนินงานในช่วงไตรมาสแรกที่ผ่านมามีการเติบโตเพิ่มขึ้น 90% สอดคล้องกับเป้าหมายที่คาดว่าในปี 2558 จะมียอดขายเติบโตประมาณ 90-100%”
ปัจจุบันบริษัทฯ มีผลิตภัณฑ์กลุ่มปลั๊กไฟฟ้าต่อพ่วงและอุปกรณ์ป้องกันภายในบ้าน ตลอดจนผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับการดูแลรักษาความปลอดภัยอื่นๆ ประมาณ 1.5 พันเอสเคยู แบ่งเป็นการผลิตเอง 60% และนำเข้า 40% โดยยังรับช่วงการผลิตให้สินค้าแบรนด์อื่นๆ ในลักษณะ OEM ประมาณ 20-30% ทำตลาดในประเทศ 70% และส่งออกไปยังกลุ่มประเทศอาเซียน 30%
สำหรับลูกค้าในประเทศส่วนใหญ่เป็น B2C หรือบ้านพักอาศัย ประมาณ 60% และ B2B หรือกลุ่มองค์กรทั่วไป 40% ครอบคลุมทั้ง โรงงานอุตสาหกรรม โรงพยาบาล ผู้รับเหมา โครงการบ้านจัดสรร หน่วยงานราชการ และอื่นๆ ขณะที่มีตัวแทนจำหน่ายกว่า 1 พันแห่งทั่วประเทศ ทั้งร้านค้าปลีกและค้าส่ง รวมถึงโมเดิร์นเทรดชั้นนำ โดยคาดว่าในปี 2558 จะเพิ่มเป็น 1.5 พันแห่ง
“ล่าสุดบริษัทฯ ยังได้ลงทุน 100 ล้านบาทซื้อโรงงานแห่งใหม่บนพื้นที่ 3 ไร่ใน จ.สมุทรสาคร เพื่อเพิ่มกำลังการผลิตขึ้นจากเดิมหนึ่งเท่าตัวเป็น 1 แสนชิ้นต่อปี เพื่อรองรับแผนขยายตลาดประเทศเยอรมนีและประเทศอื่นๆ ในยุโรป รวมถึงประเทศสิงคโปร์ มาเลเซีย และอินโดนีเซีย ให้มีสัดส่วนเพิ่มเป็น 40% และขยายตลาดในประเทศ 50% โดยมีแผนนำบริษัทฯ เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ เพื่อระดมทุนในการขยายโรงงานและตลาดต่างประเทศภายใน 3 ปี”
นายโชติธนินทร์กล่าวในตอนท้ายว่า บริษัทฯ มั่นใจว่าจะสามารถดำเนินธุรกิจได้ประสบความสำเร็จตามเป้าหมาย เนื่องจากปัจจัยสำคัญ 4 ด้าน คือ 1. คุณภาพสินค้าที่เน้นนโยบายความเป็นสินค้าอัจฉริยะที่มีประสิทธิภาพป้องกันความปลอดภัยสูงสุด หรือ Intelligent Protection 2. พันธมิตรทางการค้าที่แข็งแกร่ง 3. การขยายตัวของตลาดก่อสร้างทั้งในประเทศและประเทศเพื่อนบ้าน เช่น ลาว กัมพูชา และเวียดนาม 4. พฤติกรรมผู้บริโภคที่มีการจับจ่ายใช้สอยสินค้าเครื่องใช้ไฟฟ้าและสมาร์ทโฟนเพิ่มมากขึ้น