อคส.เร่งตำรวจเก็บหลักฐานและสภาพข้าวที่เป็นข้าวเสียหาย ข้าวผิดชนิด และข้าวที่มีเกรดซีปนรวมประมาณ 1 ล้านตันให้เสร็จภายในสิ้นเดือน มิ.ย.นี้ก่อนนำไปเปิดประมูลขาย เผยข้าวเสีย 6.5 แสนตันส่อทำอะไรไม่ได้ ต้องเผาทิ้งหรือขายทำเชื้อเพลิงอย่างเดียว ส่วนที่เหลือขายตามสภาพ เตรียมศึกษาแยกเกรดข้าวแล้วขาย หรือขายเหมา อันไหนดีกว่ากัน ก่อนชง นบข.ตัดสิน
นางจินตนา ชัยยวรรณาการ ประธานคณะกรรมการองค์การคลังสินค้า (อคส.) เปิดเผยว่า ขณะนี้ อคส.กำลังประสานงานกับเจ้าหน้าที่ตำรวจเพื่อเก็บหลักฐานและสภาพข้าวตามข้อเท็จจริง สำหรับข้าวที่เสียหายจำนวน 6.5 แสนตัน ข้าวผิดชนิดจำนวน 5.4 หมื่นตัน และข้าวที่มีข้าวเกรดซีปนไม่เกิน 20% จำนวน 3 แสนตัน รวมแล้วประมาณ 1 ล้านตัน โดยจะให้ได้ข้อสรุปภายในสิ้นเดือน มิ.ย. 2558 ก่อนที่จะนำออกประมูลขายต่อไป
ทั้งนี้ ข้าวจำนวนดังกล่าวไม่เกี่ยวกับข้าวที่จะเปิดประมูลประมาณ 1 ล้านตัน ที่จะเปิดให้ผู้ที่สนใจยื่นซองเสนอราคาในวันที่ 16 มิ.ย.นี้
สำหรับข้าวที่เสียหาย 6.5 แสนตัน ส่วนใหญ่ไม่สามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้ ทั้งขายให้แก่อุตสาหกรรมอาหารสัตว์ หรือโรงงานเอทานอล เพราะเสียหายมาก ซึ่งอาจจะต้องเผาทิ้งหรือนำไปเป็นเชื้อเพลิงในการผลิตไฟฟ้า ส่วนข้าวผิดชนิดสามารถขายได้ เพราะแจ้งเป็นข้าวหอมมะลิ ข้าวเหนียว แต่ตรวจสอบแล้วเป็นข้าวขาว ซึ่งจะขายตามชนิดข้าว ขณะที่ข้าวที่มีข้าวเกรดซีปนไม่เกิน 20% ก็จะขายตามสภาพข้าว
นางจินตนากล่าวว่า สำหรับข้าวที่เหลืออยู่ในสต๊อกที่ อคส.ดูแลทั้งหมดประมาณ 12 ล้านตัน แยกเป็นข้าวเกรดพี ซึ่งเป็นข้าวที่ผ่านมาตรฐาน ข้าวเกรดเอ ผ่านมาตรฐาน แต่ต้องปรับปรุงเล็กน้อย ข้าวเกรดบี ด้อยมาตรฐาน แต่ปรับปรุงได้ และเกรดซี เป็นข้าวด้อยคุณภาพ ซึ่งข้าวเกรดพี เอ และบี สามารถาขายได้ไม่ยาก แต่ปัญหาคือในแต่ละโกดังมีข้าวหลายเกรดปะปนกันอยู่ ก็ต้องพิจารณาว่าจะขายอย่างไร จะขายแบบเหมาทั้งโกดัง หรือแยกข้าวแต่ละชนิดออกมาแล้วขาย
อย่างไรก็ตาม อคส.เห็นว่าอาจจะต้องแยกข้าวแต่ละเกรดให้ชัดเจนก่อนที่จะนำออกขาย โดยกำลังศึกษาว่าการว่าจ้างให้ผู้เชี่ยวชาญเข้ามาทำการคัดแยกข้าวจะดีกว่าหรือไม่ เพราะหากขายเหมารวมไปเลยทีเดียวอาจจะไม่ได้ราคาที่ดี และอาจจะถูกกล่าวหาว่าขายข้าวราคาถูกได้ในอนาคต จึงต้องดำเนินการด้วยความรัดกุม แต่ทั้งหมดนี้เมื่อได้ข้อสรุปแล้วก็จะนำเสนอให้คณะกรรมการนโยบายและบริหารจัดการข้าว (นบข.) พิจารณาก่อน
“ตอนนี้ อคส.อยากจะแยกให้ชัด โดยเฉพาะข้าวเกรดซี ซึ่งเป็นข้าวด้อยคุณภาพ ที่มีอยู่ประมาณ 1.29 ล้านตัน ต้องแยกออกมาก่อน และจะไม่ขายเข้าสู่ระบบตลาดปกติ แม้จะเป็นข้าวที่ยังสามารถนำไปปรับปรุงได้ เพราะเกรงว่าจะกระทบต่อราคาข้าวในตลาด ซึ่งแนวทางคงต้องขายให้แก่ภาคอุตสาหกรรมไปเลยน่าจะเป็นทางออกที่ดีที่สุด” นางจินตนากล่าว