“พาณิชย์” รับลูกนายกฯ เล็งตั้งคณะทำงานนำข้าวในสต๊อกมาจัดทำข้าวสารบรรจุถุงจำหน่ายราคาถูกช่วยลดค่าครองชีพให้ประชาชน “ฉัตรชัย” เผยเป็นแนวทางในการระบายสต๊อกอีกทางหนึ่ง ส่วนการประชุมข้าวล้านตัน 16 มิ.ย.นี้มั่นใจมีผู้สนใจเข้าร่วมเพียบ เหตุข้าวในท้องตลาดหมดแล้ว เอกชนเห็นด้วย แต่อย่าทำมากไป หวั่นกระทบตลาดปกติ
พล.อ.ฉัตรชัย สาริกัลยะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า จะหารือร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กรมการค้าต่างประเทศ กรมการค้าภายใน องค์การคลังสินค้า (อคส.) และองค์การตลาดเพื่อเกษตรกร (อ.ต.ก.) เพื่อพิจารณาตั้งคณะทำงานหารือในรายละเอียดการนำข้าวสารในสต๊อกรัฐบาลมาจัดทำข้าวสารบรรจุถุงขายราคาถูกให้แก่ประชาชนตามแนวคิด พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เพราะต้องพิจารณาถึงรายละเอียดปริมาณที่จะจัดทำ ความต้องการของตลาด
ทั้งนี้ กระทรวงพาณิชย์เห็นด้วยที่จะจัดข้าวสารบรรจุถุงออกมาจำหน่าย เพราะเป็นช่องทางหนึ่งในการระบายข้าวสารในสต๊อกรัฐบาล แต่ต้องคุยในรายละเอียดกันก่อนเพื่อพิจารณาถึงความเหมาะสมในด้านต่างๆ โดยที่ผ่านมารัฐบาลเคยทำข้าวถุงออกมาจำหน่ายแล้ว แต่ใช้วิธีผลิตเปิดประมูลให้ภาคเอกชนเข้ามาปรับปรุงและจัดทำ ส่วนในรอบนี้ก็ต้องดูว่าจะให้เอกชนเป็นผู้เข้ามาดำเนินการหรือจะให้ อคส.เป็นผู้ดำเนินการทั้งหมด
“ปัจจุบันมีข้าวสารในสต๊อกรัฐบาลประมาณ 16 ล้านตัน แบ่งเป็น 2 ส่วน คือ ข้าวคุณภาพดีไม่ต้องปรับปรุงคุณภาพมีอยู่ประมาณกว่า 2 ล้านตัน ที่เหลือด้อยคุณภาพลงมา หากนำมาผลิตก็ต้องปรับปรุงคุณภาพ ซึ่งจำเป็นต้องพิจารณาว่าการผลิตข้าวสารบรรจุถุงจำหน่ายให้ประชาชนต้องดูว่าจะใช้ข้าวส่วนใด ตลาดที่จะขายให้กับใคร และปริมาณที่จะนำมาจัดทำควรเป็นเท่าไร” พล.อ.ฉัตรชัยกล่าว
สำหรับการเปิดประมูลข้าวสารในสต๊อกรัฐบาลปริมาณ 1 ล้านตัน ในวันที่ 15-16 มิ.ย.นี้เชื่อว่าจะมีผู้สนใจเข้าร่วมประมูลเป็นจำนวนมาก เนื่องจากเป็นช่วงระยะเวลาที่เหมาะสม เพราะผลผลิตข้าวนาปีหมดจากตลาดไปแล้ว และข้าวนาปรังก็กำลังจะหมด จึงเป็นโอกาสดีที่จะระบายข้าวสารในสต๊อกรัฐบาลออกมาในช่วงนี้
นายชูเกียรติ โอภาสวงศ์ นายกกิตติมศักดิ์สมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย กล่าวว่า การทำข้าวถุงช่วยชาติ โดยนำข้าวสต๊อกรัฐบาลมาปรับปรุงและจำหน่ายในราคาถุงละ 60-70 บาท (5 กก.) สามารถทำได้ เพราะเป็นการช่วยเหลือค่าครองชีพให้แก่ประชาชนผู้มีรายได้น้อย แต่รัฐไม่ควรทำออกมามากเพราะจะกระทบต่อผู้ประกอบการข้าวถุงที่แข่งขันกันอยู่ในตลาด
“รัฐควรจะนำข้าวในสต๊อกมาทำข้าวถุงไม่เกิน 20% ของตลาดข้าวถุง หรือไม่ควรเกิน 1.5 หมื่นตันต่อเดือน จากปริมาณข้าวที่ทำข้าวถุงในตลาดทั้งหมดประมาณ 5 หมื่นตันต่อเดือน หรือหากรัฐจะทำในปริมาณมากก็ควรแยกตลาดให้ชัดเจน โดยเน้นไปทำข้าวคุณภาพรองลงมาเพื่อขายให้ผู้มีรายได้น้อย ส่วนข้าว 100% และข้าว 5% ซึ่งเป็นข้าวตลาดระดับบนควรปล่อยให้กลไกตลาดทำงาน” นายชูเกียรติกล่าว