“อภิรดี” นำทัพเอกชนเจาะตลาดชิลี เปรู เตรียมจัดกิจกรรมจับคู่ธุรกิจขยายโอกาสส่งออกสินค้าชิ้นส่วนยานยนต์ วัสดุก่อสร้าง เครื่องจักรกลการเกษตร เครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ พลาสติกและยาง มั่นใจเปิดตลาดได้เพิ่มแน่ นัดคุยหน่วยงานรัฐหาทางใช้ประโยชน์จาก FTA ในการเพิ่มการค้าและหาวัตถุดิบ พร้อมให้คำมั่นไทยเปิดรับลงทุน มั่นใจมูลค่าการค้า 2 ประเทศปีนี้โต 5%
นายสุพพัต อ่องแสงคุณ รองอธิบดีกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ เปิดเผยว่า กรมฯ ได้จัดคณะผู้แทนการค้าเดินทางไปเยือนสาธารณรัฐชิลีและสาธารณรัฐเปรู ระหว่างวันที่ 8-12 มิ.ย. 2558 โดยนางอภิรดี ตันตราภรณ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ จะเป็นหัวหน้าคณะนำภาครัฐและเอกชน ได้แก่ สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย สภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย และบริษัทเอกชน 21 บริษัท เพื่อหาโอกาสในการขยายการค้าและการลงทุนของไทยกับทั้งสองประเทศ
โดยในการเดินทางไปครั้งนี้ รมช.พาณิชย์จะหารือกับหน่วยงานภาครัฐที่ดูแลด้านการค้าทั้งชิลีและเปรู โดยจะผลักดันให้มีการใช้ประโยชน์จากข้อตกลงการค้าเสรี (FTA) ที่มีอยู่ ซึ่งไทยจะใช้ชิลีและเปรูเป็นประตูการค้าเปิดตลาดสินค้าไทยไปสู่ภูมิภาคละตินอเมริกาและอเมริกาใต้ รวมทั้งจะใช้ประโยชน์จาก FTA ในการแสวงหาวัตถุดิบให้แก่ผู้ประกอบการไทย เพราะทั้งสองประเทศถือเป็นแหล่งวัตถุดิบที่สำคัญของไทย ขณะที่ชิลี และเปรูก็สามารถใช้ประโยชน์จากไทยในการบุกเจาะตลาดอาเซียนได้ จากการที่ไทยเป็นศูนย์กลางในภูมิภาคนี้
ขณะเดียวกัน จะมีการจัดกิจกรรมการจับคู่ธุรกิจ (บิสิเนส แมชชิ่ง) ระหว่างผู้ประกอบการไทยกับผู้ประกอบการชิลีและเปรู โดยสินค้าที่คาดว่าจะมีโอกาสในการเปิดตลาดได้เพิ่มขึ้น ได้แก่ ชิ้นส่วนยานยนต์ วัสดุก่อสร้าง เครื่องจักรกลการเกษตร เครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ ผลิตภัณฑ์พลาสติก และผลิตภัณฑ์ยาง ซึ่งไทยมีขีดความสามารถในการผลิต และเป็นสินค้าที่เป็นที่ต้องการของตลาดชิลี และเปรู
นอกจากนี้ จะมีการหารือกับบริษัท Sigdo Koppers ซึ่งเป็นบริษัทที่ประกอบธุรกิจเหมืองแร่รายใหญ่ที่สุดในชิลี และปัจจุบันได้เข้ามาลงทุนในไทยแล้ว โดยมีโรงงานผลิตลูกเหล็ก (steel ball) ที่ใช้เป็นส่วนประกอบสำคัญในการถลุงแร่ โดยที่ผ่านมามีแผนการขยายกิจการเพิ่ม และได้ชะลอไว้เนื่องจากสถานการณ์การเมืองไทยเมื่อปีที่ผ่านมา แต่ขณะนี้ได้กลับมาเดินหน้าต่อ โดยอยู่ระหว่างการดำเนินการขยายโรงงาน ซึ่งไทยจะใช้โอกาสนี้ในการสร้างความเชื่อมั่นในเสถียรภาพทางการเมืองไทย และให้ความมั่นใจว่ารัฐบาลจะยังคงดำเนินนโยบายสนับสนุนการค้าและการลงทุนจากต่างชาติ
นายสุพพัตกล่าวว่า สำหรับสินค้าที่มีโอกาสในการผลักดันการส่งออกไปยังตลาดชิลี และเปรู พบว่ารถยนต์และส่วนประกอบเป็นสินค้าส่งออกอันดับหนึ่งของไทยใน 2 ตลาด รองลงมาจะเป็นกลุ่มอาหารทะเลกระป๋องและแปรรูป เครื่องจักรกลและส่วนประกอบ เครื่องซักผ้าและเครื่องซักแห้ง เครื่องรับวิทยุโทรทัศน์ และเม็ดพลาสติก เป็นต้น ซึ่งทั้งชิลี และเปรูต่างนิยมสินค้าไทย โดยเฉพาะรถกระบะของไทยได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก เนื่องจากไทยเป็นผู้ผลิตรถกระบะขนาด 1 ตันรายใหญ่ที่สุดของโลก และได้รับการยอมรับในเรื่องคุณภาพมากกว่าคู่แข่ง เช่น เม็กซิโก และอาร์เจนตินา โดยกรมฯ จะเพิ่มกิจกรรม และหาทางขยายตลาดรถกระบะ รวมถึงชิ้นส่วนยานยนต์ให้ได้เพิ่มมากขึ้น
ส่วนสินค้านำเข้าจากทั้งสองประเทศ ส่วนใหญ่ไทยนำเข้ามาเป็นวัตถุดิบในอุตสาหกรรมการผลิตต่างๆ เช่น สัตว์น้ำสดแช่เย็นแช่แข็ง ผัก ผลไม้ สินแร่โลหะอื่นๆ เยื่อกระดาษ ปุ๋ยและยากำจัดศัตรูพืชและสัตว์ เคมีภัณฑ์ ไม้ซุง ไม้แปรรูปและผลิตภัณฑ์ ด้ายและเส้นใย เป็นต้น
อย่างไรก็ตาม กรมฯ ได้ตั้งเป้าหมายการส่งออกไทยไปยังสองประเทศนี้ในปี 2558 เพิ่มขึ้น 5% เท่ากัน โดยชิลีคาดว่าจะส่งออกได้มูลค่า 674.42 ล้านเหรียญสหรัฐ และเปรูมูลค่า 491.09 ล้านเหรียญสหรัฐ