จากผลสำรวจ “แนวโน้มด้านสวัสดิการในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ประจำปี 2015 โดย ทาวเวอร์ส วัทสัน” (Towers Watson’s 2015 Asia Pacific Benefit Trends survey) บริษัทที่ปรึกษาและวิจัยข้อมูลธุรกิจระดับโลก ซึ่งสำรวจจาก 1,145 บริษัทใน 20 ประเทศทั่วภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกซึ่งถือเป็นการสำรวจแนวโน้มด้านสวัสดิการพนักงานที่มีความครอบคลุมมากที่สุดในภูมิภาค พบว่า บริษัทต่างๆ ในประเทศไทยกำลังเผชิญกับปัญหาความเหลื่อมล้ำระหว่างจำนวนเงินที่ใช้จ่ายด้านสวัสดิการพนักงานและคุณค่าที่ได้รับกลับมา เช่นเดียวกับประเทศต่างๆ ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก
จากการสำรวจพบว่า องค์กรต่างๆเล็งเห็นความสำคัญของสวัสดิการพนักงานมากขึ้นโดยเฉพาะด้านการสร้างคุณค่าของพนักงานในองค์กร (Employee Value Proposition : EVP) ซึ่งเป็นการให้รางวัลเพื่อช่วยดึงดูดรักษาและสร้างการมีส่วนร่วมของพนักงาน โดยมากกว่า 3 ใน 5 ของนายจ้างที่เข้าร่วมการสำรวจในประเทศไทย ระบุว่า การพัฒนาการดึงดูดและการรักษาพนักงาน (63%) รวมถึงการกระตุ้นการมีส่วนร่วมของพนักงาน (62%) เป็นเป้าหมายหลักของกลยุทธ์ด้านสวัสดิการขององค์กร
ขณะเดียวกัน ต้นทุนด้านสวัสดิการในปัจจุบันคิดเป็นเปอร์เซ็นต์ที่สูงมากเมื่อเทียบกับค่าใช้จ่ายด้านเงินเดือนของพนักงาน เกือบครึ่งหนึ่ง (49%) ของนายจ้างในประเทศไทยระบุว่า ค่าใช้จ่ายด้านสวัสดิการมีมูลค่ามากกว่า 20% ของต้นทุนด้านเงินเดือนพนักงาน และเกือบ 1 ใน 10 (9%) ใช้จ่ายด้านสวัสดิการมากกว่า 40% ของเงินเดือน นอกจากนี้ 69% ขององค์กรในประเทศไทยยังระบุว่า ต้นทุนด้านสวัสดิการที่กำลังเพิ่มขึ้นถือเป็นเรื่องท้าทายที่พวกเขาต้องเผชิญในการดำเนินกลยุทธ์ด้านสวัสดิการ นอกจากนี้ยังเป็นที่น่ากังวลว่า มากกว่า 1 ใน 5 (21%) ของนายจ้างในประเทศไทยไม่ทราบว่า พวกเขามีค่าใช้จ่ายด้านสวัสดิการของพนักงานเท่าใด
มร.มาร์ค วัทลี ผู้อำนวยการฝ่ายข้อมูลด้านสวัสดิการ “ทาวเวอร์ส วัทสัน เอเชียตะวันออกเฉียงใต้” กล่าวว่า “การที่นายจ้างไม่ตระหนักถึงมูลค่าของต้นทุนด้านสวัสดิการที่ให้แก่พนักงานแสดงให้เห็นว่า นายจ้างเหล่านี้กำลังเผชิญกับความยากลำบากในการบริหารจัดการด้านสวัสดิการ (Benefits Governance) ในขณะที่ต้องมีการจัดสรรในหลายด้าน รวมถึงผู้ให้บริการและระบบการจัดการอื่นๆ การที่นายจ้างไม่สามารถระบุค่าใช้จ่ายด้านสวัสดิการออกมาเป็นตัวเลขก็ไม่น่าแปลกใจว่าพนักงานจะไม่ค่อยตระหนักถึงคุณค่า หรือประโยชน์ของแผนสวัสดิการที่พวกเขาได้รับซึ่งแผนสวัสดิการที่ตอบสนองความต้องการของพนักงานมีการสื่อสารที่ชัดเจนและสามารถดำเนินการได้อย่างไม่ซับซ้อนจะช่วยเพิ่มคุณค่าของสวัสดิการในสายตาพนักงานได้
แม้จะมีการลงทุนด้านสวัสดิการพนักงานอย่างแพร่หลาย โดยมีเพียง 12% ของบริษัทในประเทศไทยที่เข้าร่วมการสำรวจที่เชื่อว่า “พนักงานตระหนักถึงคุณค่าและประโยชน์ของสวัสดิการที่บริษัทมอบให้” ดังที่ มร.คริส เม ผู้อำนวยการฝ่ายข้อมูลด้านสวัสดิการ “ทาวเวอร์ส วัทสัน ประเทศไทย” และผู้อำนวยการฝ่ายการบริหารผลประโยชน์พนักงาน “ทาวเวอร์ส วัทสัน เอเชียแปซิฟิก” กล่าวว่า
“เป็นที่น่ากังวลว่า เกือบ 1 ใน 4 หรือ 24% ขององค์กรในประเทศไทยเชื่อว่า พนักงานของพวกเขาไม่ค่อยตระหนักถึงคุณค่าของสวัสดิการที่บริษัทมีให้ ถือเป็นผลสำรวจที่แย่ที่สุดในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ดังนั้นจึงสำคัญอย่างยิ่งสำหรับนายจ้างในประเทศไทยในการทำให้พนักงานรับรู้ถึงคุณค่าของสวัสดิการที่บริษัทมอบให้มากขึ้น ไม่เช่นนั้นแล้วบริษัทเหล่านั้นจะไม่ได้รับผลตอบแทนสูงสุดจากการลงทุนมากมายในด้านสวัสดิการพนักงาน”
การเพิ่มขึ้นของค่าใช้จ่ายด้านสวัสดิการไม่ได้สอดคล้องกับการเพิ่มขึ้นในการรับรู้คุณค่าของสวัสดิการในหมู่พนักงานเสมอไป เพราะคุณค่าของสวัสดิการในสายตาพนักงานจะเพิ่มขึ้นเมื่อนายจ้างนำความคิดเห็นของพนักงานมาประกอบการตัดสินใจ โดยพนักงานจะเห็นคุณค่าของสวัสดิการที่ได้รับมากขึ้นเมื่อบริษัทมีการจัดการเพื่อรับมือเหตุการณ์ต่างๆ ในช่วงชีวิตของพนักงานอย่างมีประสิทธิภาพและมีการสื่อสารด้านสวัสดิการอย่างชัดเจน
สำหรับองค์กรที่มีแผนสวัสดิการที่ยืดหยุ่นได้ (Flexible Benefits) ซึ่งให้ทางเลือกแก่พนักงาน ส่วนใหญ่เห็นว่าแผนสวัสดิการดังกล่าวประสบความสำเร็จในการเพิ่มความเข้าใจและพึงพอใจของพนักงานต่อสวัสดิการที่ตนได้รับ (67%) สามารถตอบสนองความต้องการที่แตกต่างกันของพนักงาน (66%) ตลอดจนเพิ่มการดึงดูดและรักษาพนักงานในองค์กร (59%)
แผนสวัสดิการที่ยืดหยุ่นได้ยังคงเป็นแนวทางที่มีประสิทธิภาพในการส่งมอบสวัสดิการและเพิ่มคุณค่าของสวัสดิการในสายตาของพนักงาน นอกจากช่วยให้องค์กรเข้าใจถึงความต้องการที่แตกต่างของพนักงาน แผนสวัสดิการที่ยืดหยุ่นได้ยังผลักดันให้มีการสื่อสารอย่างต่อเนื่องเพื่อให้พนักงานเลือกและจัดลำดับคุณค่าของสวัสดิการต่างๆ ที่อยู่ในแผน ซึ่งเหล่านี้จะช่วยเพิ่มคุณค่าของสวัสดิการในมุมมองของพนักงานได้เป็นอย่างดีในประเทศไทย