หวั่น “ทีวีดิจิตอล” จะมีการฟ้อง กสทช.เพิ่มอีก เหตุทุกรายก็เผชิญปัญหาเหมือนกันหมด ปธ.ชมรมผู้ประกอบการทีวีดิจิตอลออกโรงต้องมองเป็นปัญหาทั้งระบบไม่ใช่แค่ไทยทีวีรายเดียว ย้ำไม่ต้องการให้ไทยเปลี่ยนผ่านล้มเหลว หวั่นกระทบอุตสาหกรรมกว่า 1 แสนล้านบาท
แหล่งข่าวจากแวดวงทีวีกล่าวให้ความเห็นถึงสถานการณ์ธุรกิจทีวีดิจิตอลในขณะนี้ว่า จากกรณีของบริษัท ไทยทีวี จำกัด ผู้ประกอบการทีวีดิจิตอล 2 ช่องของ “เจ๊ติ๋ม-พันธุ์ทิพา ศกุนต์ไชย” เจ้าของบริษัท ไทยทีวี จำกัด ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้ประกอบการทีวีดิจิอตอล แถลงข่าวยกเลิกใบประกอบการทีวีดิจิตอลนั้น และเตรียมฟ้องคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) คาดว่าหลังจากนี้ก็คงมีอีกหลายช่องหลายบริษัทที่อาจจะดำเนินการฟ้องร้องหรือไม่ฟ้องร้อง แล้วแต่กรณี
อย่างไรก็ตาม ต้องการส่งสัญญาณว่าขณะนี้หลายช่องทีวีดิจิตอลก็มีปัญหาเช่นกัน ไม่ใช่เพียงแค่ของไทยทีวีเท่านั้น แต่หลายค่ายเขาเลือกที่จะจ่ายเงินค่าไลเซนส์งวดที่สองก่อนแล้วอาจจะทำการฟ้องร้องภายหลัง แต่ทางไทยทีวีเขาเลือกที่จะยกเลิกและฟ้อง กสทช.ก่อน
นายสุภาพ คลี่ขจาย ในฐานะประธานชมรมผู้ประกอบการทีวีดิจิตอล กล่าวว่า ตนก็ได้ลาออกจากตำแหน่งที่ปรึกษาบริษัทและตำแหน่งผู้อำนวยการสถานีเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว แต่ยังคงดำเนินการจัดรายการให้อยู่ เพื่อไม่ให้เกิดความลำบากใจเพราะยังมีตำแหน่งเป็นประธานชมรมผู้ประกอบการทีวีดิจิตอลด้วย
เขากล่าวว่า ปัญหาที่เกิดขึ้นครั้งนี้คงไม่ใช่เป็นเรื่องที่เป็นปัญหาของช่องใดช่องหนึ่งเท่านั้น แต่ต้องมองเป็นภาพรวมทั้งระบบเพราะหลายช่องก็มีปัญหาเหมือนกัน ต้องมองภาพใหญ่ว่าทำอย่างไรที่จะให้การเปลี่ยนผ่านจากทีวีแอนะล็อกเป็นทีวีดิจิตอลให้สำเร็จได้อย่างไร และเราไม่ต้องการให้ประเทศไทยเป็นประเทศแรกที่ล้มเหลวจากการเปลี่ยนผ่านจากทีวีแอนะล็อกเป็นทีวีดิจิตอล ซึ่งในต่างประเทศ เช่น อังกฤษ ในอดีตที่เริ่มต้นเปลี่ยนระบบก็ประสบปัญหา ในที่สุดได้หยุดไปก่อนแล้วมาเริ่มกันใหม่หลังจากที่มีความพร้อมแล้ว สุดท้ายก็ประสบความสำเร็จ
ผลกระทบที่เกิดขึ้นจากการที่ทีวีดิจิตอลไม่ประสบความสำเร็จในภาพรวม นอกจากผู้ประกอบการทีวีดิจิตอลเองแล้ว ยังส่งผลกระทบไปถึงธุรกิจอื่นที่เกี่ยวข้องอีกมาก เช่น ผู้ประกอบการทางด้านคอนเทนต์ ที่ลงทุนไปมากก่อนหน้านี้เพื่อผลิตรายการป้อนให้แก่ทีวีดิจิตอล หรือผู้ประกอบการทางด้านโปรดักชันเฮาส์ หรือผู้ประกอบการด้านกล่องทีวีดิจิตอลที่มีมากกว่า 30 รายก็ประสบปัญหา เพราะอยู่ในสถานภาพที่ย่ำแย่มาก เพราะปัญหาการเบิกจ่ายล่าช้า และกล่องทีวีดิจิตอลยังขายไม่ได้อีกมาก ซึ่งอุตสาหกรรมนี้เกี่ยวข้องกับวงเงินไม่น้อยกว่า 100,000 ล้านบาท ซึ่งมาจากวงเงินประมูลกว่า 50,000 ล้านบาท และวงเงินด้านโครงข่าย ห้องส่ง สตูดิโอ ธุรกิจที่เกี่ยวข้องอีก 50,000 ล้านบาท กระทบไปหมด
นายสุภาพกล่าวว่า ภาครัฐควรให้ความสำคัญต่อการเปลี่ยนผ่านแอนะล็อกเป็นดิจิตอลให้มากกว่านี้ แม้ว่าที่ผ่านมาทาง กสทช.จะทำแล้วก็ตาม แต่ก็มีหลายอย่างที่สะดุดลง เช่น กำลังคนที่ไม่เพียงพอ อีกทั้งหลังจากการยึดอำนาจของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ หรือ คสช. ดูเหมือนว่า กสทช.จะอยู่ในฐานะของการป้องกันตัวเองมากกว่าการผลักดันปล่อยให้การเปลี่ยนผ่านเป็นไปตามยถากรรม
ขณะที่งบประมาณ 60 ล้านบาทที่จะมาใช้ในการประชาสัมพันธ์ก็ยังไม่ออกมา ซึ่งต้องนำมาใช้ในการกระตุ้นให้ผู้บริโภครู้จักและเข้าใจ รวมทั้งโน้มน้าวให้คนนำคูปอง
มาแลกกล่องมากขึ้น แต่ตอนนี้ประชาชนยังนำคูปองไปแลกไม่ถึงครึ่งเลยจาก 8 ล้านใบ เพราะปัญหาทางด้านเทคนิคก็มีมาก เช่น กำหนดสเปกว่าเสาต้องสูง 6 เมตร ในความเป็นจริงบ้านไหนจะมีเสาสูงขนาดนี้ในปัจจุบันนี้ หรือควรดูในที่โปร่งถ้าหากไม่ใช้เสาสูง แต่ต้องมีหน้าต่างไม่น้อยกว่า 1 ใน 3 ของพื้นที่ห้อง ยังมีปัญหาเรื่องโครงข่าย หรือมัก (MUG) ที่ยังไม่พร้อมไม่เป็นไปตามแผนงานของ กสทช.
“จริงๆ แล้วผู้ประกอบการทีวีดิจิตอลไม่ใช่ไม่เคารพกติกา แต่ว่ากติกาไม่เป็นไปตามที่ควรจะเป็น ซึ่งก่อนที่จะเริ่มต้นประมูลโครงการทีวีดิจิตอลก็ไม่ใช่ไม่รู้ว่าจะมีปัญหาตามมา เอกชนบอก กสทช.ให้เลื่อนออกไปก่อนเขาก็ไม่ยอม เพราะในหลายประเทศเขาเริ่มต้นทีวีดิจิตอลกันที่จำนวนน้อยช่องก่อน เช่น 2 ช่อง 3 ช่อง แล้วค่อยๆ เพิ่มจำนวนขึ้นในอนาคต แต่ของไทยเรา กสทช.ทำทีเดียวเปิดประมูล 20 กว่าช่อง 27 ช่อง มันเยอะเกินไปทั้งๆ ที่ความพร้อมก็ยังไม่มี ซึ่งก่อนหน้านี้เราก็ได้ยื่นเรื่องขอเยียวยาไปแล้ว 1 ปี โดยที่ กสทช.ชุดเล็กกับชุดใหญ่ก็อนุมัติเห็นด้วย ทำประชาพิจารณ์ก็ผ่าน แต่มาสะดุดตรงหน่วยงาน สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน หรือ สตง. กับอัยการสูงสุด ติงว่าทำไม่ได้ในทางกฎหมาย เรื่องเลยสะดุด
ทั้งนี้ หากมีการเลื่อนการชำระค่าไลเซนส์ออกไปอีก 1 ปีในงวดที่สองนี้ สถานการณ์ต่างๆ ก็คาดว่าน่าจะดีขึ้น เงินระบบโฆษณาทีวีดิจิตอลก็เริ่มเติบโตขึ้น แผนเดิมที่ภาครัฐบาลจะได้เงินครบภายใน 6 ปีก็เลื่อนไปเป็น 7 ปี เพิ่มอีกแค่ปีเดียวก็ไม่มีปัญหา ผมว่าปีหน้าสถานการณ์จะยิ่งลำบากกว่านี้อีก”
แหล่งข่าวจากแวดวงทีวีกล่าวให้ความเห็นถึงสถานการณ์ธุรกิจทีวีดิจิตอลในขณะนี้ว่า จากกรณีของบริษัท ไทยทีวี จำกัด ผู้ประกอบการทีวีดิจิตอล 2 ช่องของ “เจ๊ติ๋ม-พันธุ์ทิพา ศกุนต์ไชย” เจ้าของบริษัท ไทยทีวี จำกัด ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้ประกอบการทีวีดิจิอตอล แถลงข่าวยกเลิกใบประกอบการทีวีดิจิตอลนั้น และเตรียมฟ้องคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) คาดว่าหลังจากนี้ก็คงมีอีกหลายช่องหลายบริษัทที่อาจจะดำเนินการฟ้องร้องหรือไม่ฟ้องร้อง แล้วแต่กรณี
อย่างไรก็ตาม ต้องการส่งสัญญาณว่าขณะนี้หลายช่องทีวีดิจิตอลก็มีปัญหาเช่นกัน ไม่ใช่เพียงแค่ของไทยทีวีเท่านั้น แต่หลายค่ายเขาเลือกที่จะจ่ายเงินค่าไลเซนส์งวดที่สองก่อนแล้วอาจจะทำการฟ้องร้องภายหลัง แต่ทางไทยทีวีเขาเลือกที่จะยกเลิกและฟ้อง กสทช.ก่อน
นายสุภาพ คลี่ขจาย ในฐานะประธานชมรมผู้ประกอบการทีวีดิจิตอล กล่าวว่า ตนก็ได้ลาออกจากตำแหน่งที่ปรึกษาบริษัทและตำแหน่งผู้อำนวยการสถานีเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว แต่ยังคงดำเนินการจัดรายการให้อยู่ เพื่อไม่ให้เกิดความลำบากใจเพราะยังมีตำแหน่งเป็นประธานชมรมผู้ประกอบการทีวีดิจิตอลด้วย
เขากล่าวว่า ปัญหาที่เกิดขึ้นครั้งนี้คงไม่ใช่เป็นเรื่องที่เป็นปัญหาของช่องใดช่องหนึ่งเท่านั้น แต่ต้องมองเป็นภาพรวมทั้งระบบเพราะหลายช่องก็มีปัญหาเหมือนกัน ต้องมองภาพใหญ่ว่าทำอย่างไรที่จะให้การเปลี่ยนผ่านจากทีวีแอนะล็อกเป็นทีวีดิจิตอลให้สำเร็จได้อย่างไร และเราไม่ต้องการให้ประเทศไทยเป็นประเทศแรกที่ล้มเหลวจากการเปลี่ยนผ่านจากทีวีแอนะล็อกเป็นทีวีดิจิตอล ซึ่งในต่างประเทศ เช่น อังกฤษ ในอดีตที่เริ่มต้นเปลี่ยนระบบก็ประสบปัญหา ในที่สุดได้หยุดไปก่อนแล้วมาเริ่มกันใหม่หลังจากที่มีความพร้อมแล้ว สุดท้ายก็ประสบความสำเร็จ
ผลกระทบที่เกิดขึ้นจากการที่ทีวีดิจิตอลไม่ประสบความสำเร็จในภาพรวม นอกจากผู้ประกอบการทีวีดิจิตอลเองแล้ว ยังส่งผลกระทบไปถึงธุรกิจอื่นที่เกี่ยวข้องอีกมาก เช่น ผู้ประกอบการทางด้านคอนเทนต์ ที่ลงทุนไปมากก่อนหน้านี้เพื่อผลิตรายการป้อนให้แก่ทีวีดิจิตอล หรือผู้ประกอบการทางด้านโปรดักชันเฮาส์ หรือผู้ประกอบการด้านกล่องทีวีดิจิตอลที่มีมากกว่า 30 รายก็ประสบปัญหา เพราะอยู่ในสถานภาพที่ย่ำแย่มาก เพราะปัญหาการเบิกจ่ายล่าช้า และกล่องทีวีดิจิตอลยังขายไม่ได้อีกมาก ซึ่งอุตสาหกรรมนี้เกี่ยวข้องกับวงเงินไม่น้อยกว่า 100,000 ล้านบาท ซึ่งมาจากวงเงินประมูลกว่า 50,000 ล้านบาท และวงเงินด้านโครงข่าย ห้องส่ง สตูดิโอ ธุรกิจที่เกี่ยวข้องอีก 50,000 ล้านบาท กระทบไปหมด
นายสุภาพกล่าวว่า ภาครัฐควรให้ความสำคัญต่อการเปลี่ยนผ่านแอนะล็อกเป็นดิจิตอลให้มากกว่านี้ แม้ว่าที่ผ่านมาทาง กสทช.จะทำแล้วก็ตาม แต่ก็มีหลายอย่างที่สะดุดลง เช่น กำลังคนที่ไม่เพียงพอ อีกทั้งหลังจากการยึดอำนาจของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ หรือ คสช. ดูเหมือนว่า กสทช.จะอยู่ในฐานะของการป้องกันตัวเองมากกว่าการผลักดันปล่อยให้การเปลี่ยนผ่านเป็นไปตามยถากรรม
ขณะที่งบประมาณ 60 ล้านบาทที่จะมาใช้ในการประชาสัมพันธ์ก็ยังไม่ออกมา ซึ่งต้องนำมาใช้ในการกระตุ้นให้ผู้บริโภครู้จักและเข้าใจ รวมทั้งโน้มน้าวให้คนนำคูปอง
มาแลกกล่องมากขึ้น แต่ตอนนี้ประชาชนยังนำคูปองไปแลกไม่ถึงครึ่งเลยจาก 8 ล้านใบ เพราะปัญหาทางด้านเทคนิคก็มีมาก เช่น กำหนดสเปกว่าเสาต้องสูง 6 เมตร ในความเป็นจริงบ้านไหนจะมีเสาสูงขนาดนี้ในปัจจุบันนี้ หรือควรดูในที่โปร่งถ้าหากไม่ใช้เสาสูง แต่ต้องมีหน้าต่างไม่น้อยกว่า 1 ใน 3 ของพื้นที่ห้อง ยังมีปัญหาเรื่องโครงข่าย หรือมัก (MUG) ที่ยังไม่พร้อมไม่เป็นไปตามแผนงานของ กสทช.
“จริงๆ แล้วผู้ประกอบการทีวีดิจิตอลไม่ใช่ไม่เคารพกติกา แต่ว่ากติกาไม่เป็นไปตามที่ควรจะเป็น ซึ่งก่อนที่จะเริ่มต้นประมูลโครงการทีวีดิจิตอลก็ไม่ใช่ไม่รู้ว่าจะมีปัญหาตามมา เอกชนบอก กสทช.ให้เลื่อนออกไปก่อนเขาก็ไม่ยอม เพราะในหลายประเทศเขาเริ่มต้นทีวีดิจิตอลกันที่จำนวนน้อยช่องก่อน เช่น 2 ช่อง 3 ช่อง แล้วค่อยๆ เพิ่มจำนวนขึ้นในอนาคต แต่ของไทยเรา กสทช.ทำทีเดียวเปิดประมูล 20 กว่าช่อง 27 ช่อง มันเยอะเกินไปทั้งๆ ที่ความพร้อมก็ยังไม่มี ซึ่งก่อนหน้านี้เราก็ได้ยื่นเรื่องขอเยียวยาไปแล้ว 1 ปี โดยที่ กสทช.ชุดเล็กกับชุดใหญ่ก็อนุมัติเห็นด้วย ทำประชาพิจารณ์ก็ผ่าน แต่มาสะดุดตรงหน่วยงาน สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน หรือ สตง. กับอัยการสูงสุด ติงว่าทำไม่ได้ในทางกฎหมาย เรื่องเลยสะดุด
ทั้งนี้ หากมีการเลื่อนการชำระค่าไลเซนส์ออกไปอีก 1 ปีในงวดที่สองนี้ สถานการณ์ต่างๆ ก็คาดว่าน่าจะดีขึ้น เงินระบบโฆษณาทีวีดิจิตอลก็เริ่มเติบโตขึ้น แผนเดิมที่ภาครัฐบาลจะได้เงินครบภายใน 6 ปีก็เลื่อนไปเป็น 7 ปี เพิ่มอีกแค่ปีเดียวก็ไม่มีปัญหา ผมว่าปีหน้าสถานการณ์จะยิ่งลำบากกว่านี้อีก”