“ประยุทธ์” ร่วมกินอาหารกับสื่อมวลชน เซ็นชื่อฐานะ “ลูกน้องนักข่าว” โซ้ยปูปลาร้าโชว์เป็นลูกอีสาน เปิดใจเสี่ยงชีวิตออกมาเพื่อชาติ ขอให้เข้าใจ แจงปราบแดง 53 เหตุยิง จนท.ตาย รับไม่เคยโกรธ ลั่นปฏิรูปต้องคิดเผื่อ 20 ปี เผยชีวิตอยู่ในมือทีม รปภ. ชี้ต้องลงหลังเสือให้เป็น หรือไม่ก็ฆ่าเสือ แย้มดูตัวเองพูดคืนความสุขก็เบื่อ เล็งลดเหลือ 30 นาที ย้อนช่อง “เจ๊ติ๋ม” ลงทุนก็ต้องรู้ว่าคุ้มหรือไม่
วันนี้ (28 พ.ค.) ที่บริเวณห้องปฏิบัติการสื่อมวลชน 1 (บริเวณรังนกกระจอก 1) ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ร่วมพบปะและรับประทานอาหารกลางวันร่วมกับผู้สื่อข่าวประจำทำเนียบรัฐบาล ที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี โดย พล.อ.วิลาศ อรุณศรี เลขาธิการนายกรัฐมนตรีจัดขึ้น โดยเมื่อมาถึง พล.อ.ประยุทธ์ได้แวะทักทายและให้คำแนะนำซุ้มอาหารต่างๆ ที่มาออกร้าน โดยเฉพาะร้านไก่ย่างส้มตำเขาสวนกวาง พล.อ.ประยุทธ์ได้แนะนำให้ดัดแปลงรูปแบบและผลิตภัณฑ์ต่างๆ ให้ผู้บริโภคมีทางเลือก อย่าใช้มะละกอเพียงอย่างเดียว ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีได้เซ็นชื่อของตัวเองเพื่อแสดงว่าได้เข้าร่วมงานครั้งนี้เช่นเดียวกับสื่อมวลชน และเขียนต่อท้ายลายเซ็นตัวเองด้วยว่ามีตำแหน่ง “ลูกน้องนักข่าว” และช่องเบอร์โทร. เขียนว่า “ขอใจเธอ 111”
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายกรัฐมนตรีได้แวะเข้ามาเยี่ยมและพูดคุยกับผู้สื่อข่าวในรังนกกระจอกโดยกล่าวว่า “ฤดูนี้ทุเรียนมีมาก ทราบกันหรือไม่ว่าเมื่อกินทุเรียนแล้วจะต้องกินมังคุดตามเพื่อเป็นการดับความร้อน จะได้เย็น” เมื่อผู้สื่อข่าวบอกว่าบางตำราให้กินน้ำเกลือจะดับความร้อนได้ พล.อ.ประยุทธ์ได้แนะนำต่อว่า “ถ้ากินทุเรียนแล้วกลัวแฟนจะเหม็นปาก ให้เอาน้ำใส่เปลือกทุเรียนแล้วนำมากินนะ” นอกจากนี้เมื่อมาถึงโต๊ะรับประทานอาหาร พล.อ.ประยุทธ์ได้ขอให้นำส้มตําปูปลาร้ามาให้ โดยบอกว่าเป็นลูกอีสานเหมือนกัน
จากนั้น พล.อ.ประยุทธ์ร่วมรับประทานอาหารและกล่าวเปิดใจว่า ประเทศไทยทุกอย่างดีหมด แต่มีคนไม่ดีอยู่ด้วย คนบางคนไม่ได้รับการสั่งสอนจึงทำให้เป็นคนไม่ดี อีกทั้งยังมีการเมืองนำพา อย่างไรก็ตาม วันนี้ประชาชนเป็นใหญ่โดยใช้สิทธิทางการเลือกตั้ง ตนทำทุกวันเพื่อความยั่งยืนของประเทศชาติ เพราะประเทศต้องมีเสถียรภาพ ไม่อย่างนั้นเศรษฐกิจจะลดลง โดยต้องกลับไปดูว่าเศรษฐกิจไทยและปัญหาของไทยนั้นอยู่ตรงไหนก็ต้องแก้ไขตรงนั้น นอกจากนี้ยังมีคนอีกจำนวนหนึ่งที่ไม่เข้าใจสถานการณ์ของประเทศชาติ เรากำลังอยู่ในระหว่างการแก้ไขวิกฤต ตนออกมาปฏิวัติเพื่อแก้ไขปัญหาต่างๆ หากออกมาแล้วไม่ทำอะไรเลยก็ไม่มีประโยชน์ เสียดายเวลา จึงอยากให้คนไทยเข้าใจ อย่างเช่นการเชิญผู้เชี่ยวชาญจากทั้งเยอรมนีและฝรั่งเศสเข้ามาเล่าประสบการณ์ก็เพื่อให้เกิดความเข้าใจ เพราะการแก้ไขปัญหา ไม่ว่าจะเป็นในประเทศหรือต่างประเทศก็ต่างใช้เวลานาน นอกจากนี้ยังต้องการให้ผู้เชี่ยวชาญจากต่างชาติรับทราบว่าเกิดอะไรขึ้นกับประเทศไทย ตนจะให้ฝ่ายความมั่นคงเอาเหตุการณ์บ้านเมืองของไทยให้ผู้เชี่ยวชาญจากต่างประเทศรับทราบ เพื่อให้ผู้เชี่ยวชาญอธิบายคนทั้งโลกแทนเรา อย่างไรก็ดี เมื่อผู้เชี่ยวชาญเหล่านี้ได้ทราบถึงเหตุการณ์ในไทยก็บอกว่ามันเกิดขึ้นมาได้อย่างไร ทั้งมีการประท้วง ใช้อาวุธ เกิดการสูญเสีย ทะเลาะกันด้วยแก้ไขรัฐธรรมนูญ เขาบอกเขาไม่เคยเห็นเลยมาโจมตีเรา เพราะความไม่เข้าใจ
พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า ตนเสี่ยงชีวิตเข้ามาทำรัฐประหารเพื่อความสงบของบ้านเมือง ต่อจากนี้ก็ขึ้นอยู่ที่ประชาชนว่าจะเอาอย่างไร โดยอำนาจของประชาชนใช้ได้โดยผ่านฝ่ายบริหาร ตุลาการ นิติบัญญัติ แนวทางของรัฐบาล คือ รักษาเสถียรภาพของประเทศ เพื่อเตรียมการนำไปสู่การเลือกตั้ง โดยรัฐบาลทำตามโรดแมป แม้มีคนพยายามไม่ให้รัฐบาลเดินไปถึงตรงนั้น แต่ตนไม่สนใจ ยืนยันว่าจะต้องเดินตามวางแผนแล้วนำไปสู่การเลือกตั้ง วันนี้ไม่สามารถทำให้ทุกคนคิดเหมือนกันหมด แต่เราต้องอยู่ร่วมกันได้ การประท้วงก็ต้องทำด้วยความสงบ ไม่เกิดการจลาจล ถ้ามีการสูญเสียก็ต้องบังคับใช้กฎหมาย อย่างเหตุการณ์ในประเทศไทยทั้ง ปี 2553 2556-2557 ผู้ก่อความวุ่นให้ประเทศต่างเป็นกลุ่มเดียวกัน โดยในปี 2557 ผู้ชุมนุมต่างประท้วงโดยสงบ แต่ในปี 2553 ที่ต้องทำเพราะมีการยิงเจ้าหน้าที่ โดยทำตามกฎหมายตามขั้นตอน ตามวิธีการ ทำจากหนักไปหาเบา 7 ขั้นตอน แต่ฝ่ายผู้ชุมนุมก่อเหตุอย่างรวดเร็ว ทำให้ทหารบาดเจ็บล้มตาย ถูกตีถูกเหยียบเป็นจำนวนมาก แต่ตนไม่เคยโกรธ
“พอเราเริ่มนับ 1 มันมาถึงตัวแล้ว ลูกน้องผมก็ไม่เคยว่าจะต้องไปฆ่าใคร เขาไม่ทำหรอก เขาบอกว่าเห็นอยู่ว่ามีการยิงใส่ทหารแต่เขาก็ไม่ทำ เพราะม็อบอยู่ตรงนั้น ลูกน้องก็โดนยิงท้องทะลุ อย่างผู้พันอะไรนะ...แต่ไม่อยากไปพูดถึงอีก เราต้องไม่ให้เกิดขึ้นอีก ส่วนเรื่องรัฐธรรมนูญ ผมก็ฟังทุกฝ่ายว่าจะเอาอย่างไร ผมไม่สามารถไปชี้เขาได้ ความเห็นของ ครม.ทุกกระทรวงก็ส่งความเห็นเข้ามาว่าจะดูแลคนให้มีความเท่าเทียมได้อย่างไร ส่วนเรื่องการปฏิรูปต้องมีวิธีการโดยนำคนดีเข้ามาทำงาน ที่ผ่านมานโยบายของพรรคการเมืองมีความสำคัญกว่ายุทธศาสตร์ของชาติ วันนี้เราต้องคิดเผื่อไป 20 ปีว่าเราจะเดินหน้าไปที่จุดใด การเดินหน้าประชาชนจะรอการช่วยเหลือจากรัฐอย่างเดียวไม่ได้ เพราะรัฐจะเอาเงินที่ไหนมาช่วยทุกคน” พล.อ.ประยุทธ์กล่าว
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ขณะที่ พล.อ.ประยุทธ์กำลังพูดอยู่นั้น ผู้สื่อข่าวพยายามบอกให้ พล.อ.ประยุทธ์หยุดพูดก่อนแล้วมารับประทานอาหาร แต่ พล.อ.ประยุทธ์บอกว่า “ไม่เอาจะพูด” จากนั้นผู้สื่อข่าวพยายามบอกให้ พล.อ.ประยุทธ์พูดแบบสบายๆ จะได้ไม่เครียด จากนั้นได้รับคำตอบกลับมาว่า “นี่สบายแล้ว สบายๆ ผมอยากพูดให้พวกคุณฟัง” ทั้งนี้มีช่วงหนึ่งของการพูดคุย พล.อ.ประยุทธ์ได้กล่าวถึงทีมรักษาความปลอดภัยว่า ตนเคยทำหน้าที่แบบนี้มาก่อน อยู่กลางแดดกลางลม ถวายความอารักขาแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ก็เคยทำมาหมดแล้ว ทุกคนรู้ฐานะของตัวเองดี ชีวิตของตนอยู่กับทีมรักษาความปลอดภัย
ผู้สื่อข่าวถามว่า มั่นใจไหมว่าจะลงจากหลังเสือได้อย่างสง่างาม พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า “เรื่องนี้ก็แล้วแต่พวกเรา ผมก็ลงเหมือนคนเดินดินปกติ” เมื่อถามต่อว่าที่ผ่านมาอดีตนายกฯ หลายคนเวลาลงจากหลังเสือก็บาดเจ็บตลอด “ก็ลงให้เป็นสิ หรือฆ่าเสือก่อนดี”
พล.อ.ประยุทธ์กล่าวถึงรายการคืนความสุขของคนในชาติว่าจะพยายามพูดให้น้อยลงใช้เวลา 30 นาทีโดยประมาณ ทีมงานกำลังดูอยู่ว่าจะสามารถเลื่อนเวลาออกอากาศได้หรือไม่ และจะมีการปรับให้บรรดารองนายกรัฐมนตรีพูดออกอากาศให้วันธรรมดา เมื่อถามว่าเคยนั่งดูตัวเองออกรายการบ้างหรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า “ดูอยู่ ก็รู้สึกเบื่อ จะไปดูแต่อีแย้มๆๆ ตายไปแล้ว เขาบอกว่าตอนนี้อีแย้มสู้นายกฯ ไม่ได้แล้ว ตายไปแล้ว แต่ส่งที่พูดนั้นมีจุดสั่งหมาย พูดเพื่อให้เกิดมุมมองวิสัยทัศน์เพื่อพัฒนาในวันหน้า”
พล.อ.ประยุทธ์กล่าวถึงกรณีบริษัท ไทยทีวี จำกัด จะคืนใบอนุญาตทีวีดิจิตอลว่า การจะทำอะไรก็ตามต้องมีภูมิคุ้มกัน ถ้าจะลงทุนก็ต้องรู้ว่าคุ้มหรือไม่ ที่ผ่านมา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงสอนไว้อยู่แล้วทั้งการพอเพียง และการเกษตรทฤษฎีใหม่ กินเหลือต้องแบ่งปัน แต่เรากลับไม่ทำ ไม่เอา การลงทุนหากยังไม่พร้อมแล้วไปกู้เงินเขามามันก็เจ๊งทุกครั้งไป ธุรกิจสื่อต้องมีการลงทุนมากมายมหาศาล ค่าโฆษณาจึงต้องแพงตามมา แต่ในบางเวลาก็ต้องเสียสละบ้าง เสียสละให้ คสช.บ้าง