ASTVผู้จัดการรายวัน - วิกฤตสื่อวิทยุขยับตัวยาก เหตุทีวีดิจิตอลส่งผลกระทบ บวกความคลุมเครือต่อการเกิดวิทยุดิจิตอล “แกรมมี่” ชูศักยภาพ ประคองรายได้ปีนี้โต 10% สู่เป้า 720 ล้านบาท ด้าน “ซีเอเอ็มจี” รีแบรนด์จับมือวิทยุชุมชน 30 จังหวัด หวังสิ้นปีมีรายได้ 80 ล้านบาท
นางสายทิพย์ มนตรีกุล ณ อยุธยา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร สายธุรกิจ “จีเอ็มเอ็ม แชนแนล ดิจิตอล” ทีวี บริษัท จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ จำกัด (มหาชน) ดูแลในส่วนธุรกิจวิทยุ “เอไทม์ มีเดีย” เปิดเผยถึงธุรกิจสื่อวิทยุว่า สถานการณ์ของสื่อวิทยุในปีนี้ค่อนข้างทรงตัว ไม่มีการเปลี่ยนแปลงมากนัก เพียงทำให้ดี หรือเทียบเท่ากับปีก่อนก็ถือว่าดีเยี่ยมแล้ว ดังนั้น ในส่วนของผู้ประกอบการด้านสื่อวิทยุจึงยังไม่มีสัญญาณการเปลี่ยนแปลง หรือการลงทุนทำอะไรแต่อย่างใด
ทั้งนี้ มองว่าบรรยากาศโดยรวมก็ไม่เอื้อต่อการลงทุนเช่นกัน ผลจากนโยบายวิทยุดิจิตอลว่าจะเกิดขึ้นหรือไม่ และจากสภาพเศรษฐกิจก็ยังนิ่ง ส่งผลให้สปอนเซอร์และเจ้าของสินค้านิ่งตามไปด้วย ทำให้การลงโฆษณาลดลง โดยได้รับผลกระทบจากทีวีดิจิตอลที่มีราคาโฆษณาไม่สูงตามที่ควรจะเป็น อันเกิดจากเรตติ้งไม่เป็นไปตามที่คาดการณ์ไว้ ดังนั้นเมื่อราคาโฆษณาทีวีดิจิตอลไม่แตกต่างจากสื่อวิทยุ สปอนเซอร์จึงเลือกใช้งบโฆษณาในสื่อทีวีดิจิตอลมากกว่าสื่อวิทยุ
“สื่อวิทยุยังคงเป็นสื่อที่ยังสามารถไปได้อยู่ โดยมองเป็นสื่อที่มีจุดแข็งแตกต่างจากสื่ออื่นๆ คือ เป็นสื่อที่สามารถสร้างความใกล้ชิดกับผู้ฟังและผู้บริโภคได้ดีกว่าสื่ออื่นๆ โดยเฉพาะความใกล้ชิดระหว่างดีเจกับผู้ฟัง ส่งผลให้การทำตลาดในรูปแบบการจัดทำกิจกรรมผ่านสื่อวิทยุจะช่วยในการเข้าถึงกลุ่มคนฟังและกลุ่มเป้าหมายได้ดีกว่าสื่ออื่นๆ ดังนั้น แม้ว่าในสถานการณ์ปัจจุบันสื่อวิทยุจะไม่สามารถปรับราคาโฆษณาขึ้นได้ แต่หากรู้จักใช้จุดแข็งให้เป็นประโยชน์ ชูอีเวนต์เป็นตัวนำการขายโฆษณา พร้อมสร้างแพกเกจการขายโฆษณาใหม่ จะถือเป็นส่วนสำคัญที่จะยังทำให้มีรายได้โฆษณาเพิ่มขึ้น” นางสายทิพย์กล่าว
สำหรับ “เอไทม์ มีเดีย” ปัจจุบันมีคลื่นวิทยุอยู่ 3 คลื่น คือ “กรีนเวฟ 106.5” เป็นคลื่นวิทยุที่ทำรายได้สูงสุดอยู่ที่ 60% “Chill 89” ทำรายได้ 20% และ “EFM 94” ทำรายได้ที่ 20% เช่นกัน ทั้งนี้ เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้ามองว่ารายได้รวมวิทยุในปีนี้น่าจะยังคงมีอัตราการเติบโตได้อีก 10% หรือมีมูลค่าที่ 720 ล้านบาท
ด้าน นายสกนธ์ เจียมบรรจง ประธานกรรมการ บริษัท ซี เอ เอ็ม จี (ประเทศไทย) จำกัด ผู้บริหารคลื่นวิทยุ 103 FM กล่าวว่า ในส่วนของคลื่น 103 “ไลค์ เอฟเอ็ม” จะมีการรีแบรนดิ้งเปลี่ยนชื่อเป็น “เอฟเอ็ม 103 ไลค์ แซทเทิลไลท์” โดยภายในปีนี้จะมีการร่วมมือกับวิทยุท้องถิ่น 30 จังหวัดในการนำคลื่น “เอฟเอ็ม 103 ไลค์ แซทเทิลไลท์” ไปออกอากาศ ซึ่งขณะนี้เจรจาเรียบร้อยแล้ว 17 จังหวัด
“ในปีหน้าเชื่อว่าจะครอบคลุมทุกจังหวัดในประเทศ และถือเป็นกลยุทธ์ที่สำคัญในการขายโฆษณาให้ลูกค้า จากเดิมที่จำกัดในกรุงเทพฯ หลังจากนี้จะสามารถเข้าถึงผู้ฟังได้ทั้งประเทศ ส่งผลให้สิ้นปีนี้น่าจะมีรายได้จากวิทยุกว่า 80 ล้านบาท”
อย่างไรก็ตาม “ซี เอ เอ็ม จีฯ” เป็นบริษัทของกลุ่มทุนจีนด้านเอนเตอร์เทนเมนต์ในธุรกิจสื่อวิทยุและทีวี โดยการลงทุนในประเทศไทยยังพร้อมที่จะเพิ่มคลื่นวิทยุเข้ามาอีกอย่างน้อย 1 คลื่น โดยขณะนี้กำลังมองดูโอกาสอยู่ซึ่งเริ่มมีการติดต่อเข้ามาบ้างแล้วเช่นกัน โดยโอกาสในการทำคลื่นวิทยุใหม่ครั้งนี้สนใจที่จะทำเป็นคลื่นลูกทุ่ง หรือคลื่นเพลงสำหรับคนจีนที่อยู่ในประเทศไทย แต่ต้องดูจังหวะและนโยบายต่างๆ ของภาครัฐที่จะออกมาด้วย
นายสกนธ์กล่าวด้วยว่า การจัดสรรคลื่นวิทยุในการขอสัมปทานคลื่นวิทยุของไทยถือว่าเป็นระบบและมีระยะเวลาสั้นสุดในเอเชียด้วยการต่อสัญญาสัมปทานทุกๆ 2 ปี ส่งผลให้ธุรกิจสื่อวิทยุในไทยอาจจะมีการเปลี่ยนแปลง หรือลงทุนเกิดขึ้นได้น้อย เพราะรายเก่าเริ่มถอดใจลดจำนวนคลื่นลง ถึงแม้ในปีนี้จะเห็นผู้เล่นรายใหม่เข้ามา อย่าง “โมโน” กับ “คลื่น 91.5 FM” ก็ตาม แต่มองว่าเป็นการต่อยอดธุรกิจเดิมมากกว่าที่จะเข้ามารุกในธุรกิจนี้อย่างจริงจัง ส่วน “ซี เอ เอ็ม จี” ยังคงวางตัวเองเป็นผู้เล่นในสื่อวิทยุเป็นหลัก และพร้อมมองหาโอกาสเติบโตในธุรกิจนี้ต่อไป