คาดหลอดไฟและโคมไฟ “LED” เพิ่มสัดส่วนถึง 50% ในตลาดรวม 2 หมื่นล้านบาท “แลมป์ตัน” ชิงปรับตัวฉีกแนวพัฒนานวัตกรรมใหม่ “หลอดไฟแอลอีดีติดตั้งวงจรป้องกันฟ้าผ่า” พร้อมจำหน่ายราคาเดิม เน้นกลยุทธ์ทำตลาด B2B มุ่งให้ความรู้ผู้บริโภคเลือกซื้อสินค้าคุณภาพเพื่อความปลอดภัย หวังเพิ่มยอดขาย 20% ในปี 58
ดร.กฤษฎา ไชยสงวนมิตต์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท แลมป์ตั้น ไลท์ติ้ง 2001 จำกัด ผู้ผลิตหลอดไฟและอุปกรณ์ส่องสว่าง “แลมป์ตั้น” (LAMPTAN) เปิดเผยว่า ตลาดรวมหลอดไฟและโคมไฟในประเทศไทยมีมูลค่าสูงถึง 2 หมื่นล้านบาท โดยหลอดไฟและโคมไฟ “แอลอีดี” (LED) มีสัดส่วน 20-25% ถือเป็นกลุ่มที่มีอัตราการเติบโตสูงสุด และคาดว่าในอนาคตจะมีส่วนแบ่งตลาดถึง 50%
ในปี 2558 บริษัทฯ จะมุ่งเน้นกลยุทธ์การตลาดด้วยการสร้างความรู้ความเข้าใจให้แก่ผู้บริโภคในการเลือกซื้อหลอดไฟอย่างถูกวิธี เนื่องจากปัจจุบันผู้ผลิตหลอดไฟต่างประสบปัญหาการทุ่มตลาดสินค้าคุณภาพต่ำจากต่างประเทศ เพราะในข้อเท็จจริงแล้วการเลือกใช้หลอดไฟควรเลือกที่มีอายุการใช้งานยาวนานและให้ความสำคัญเรื่องความปลอดภัยสูงสุดด้วย
“เมื่อพิจารณาพฤติกรรมผู้บริโภคพบว่าส่วนใหญ่เริ่มให้ความสำคัญเรื่องคุณภาพมากกว่าปัจจัยทางด้านราคา ซึ่งหากให้ข้อมูลความรู้ที่ถูกต้องและเป็นประโยชน์จะมีผลต่อการตัดสินใจซื้อในระยะยาวด้วย เพราะคนส่วนใหญ่มักเลือกแบรนด์ที่ไว้วางใจได้ ประกอบกับปัจจุบันหลอดไฟแอลอีดีเริ่มปรับราคาต่ำลง ทำให้ผู้บริโภคสามารถเลือกซื้อได้สะดวกขึ้น” ดร.กฤษฎากล่าวเสริม
ดร.กฤษฎากล่าวอีกว่า ภาวะตลาดในช่วงไตรมาสแรกยังค่อนข้างชะลอตัว แต่เริ่มมีสัญญาณที่ดีขึ้นเมื่อเข้าสู่ไตรมาสที่ 2 โดยประเมินว่าในปี 2558 จะมียอดขายเติบโตเพิ่มขึ้น 20% โดยส่วนใหญ่เป็นการจัดจำหน่ายในประเทศ ขณะเดียวกันยอดการส่งออกคาดว่าจะเติบโตประมาณ 10% เท่ากับปี 2557 โดยบริษัทฯ จะมุ่งเน้นเพิ่มสัดส่วนตลาดในลักษณะองค์กรกับองค์กร (B2B) และงานโปรเจกต์ต่างๆ มากขึ้น คิดเป็นสัดส่วนประมาณ 20% ของรายได้รวม
ในส่วนของ “แลมป์ตั้น” ถือเป็นแบรนด์หลอดไฟของคนไทยที่อยู่ในตลาดมากว่า 30 ปี ปัจจุบันส่งออกไปยัง 56 ประเทศทั่วโลก ได้แก่ กลุ่มประเทศอาเซียน ยุโรป และสหรัฐอเมริกา โดยได้เปิดตลาดหลอดแอลอีดีเมื่อ 3-4 ปีที่ผ่านมามียอดขายเติบโตถึง 150% ทุกปี โดยปัจจุบันตลาดการผลิตหลอดไฟมีอัตราการแข่งขันสูง ทั้งจากผู้ผลิตในประเทศ รวมถึงอินเตอร์แบรนด์ทั้งรายเดิมและรายใหม่ๆ โดยเฉพาะจากประเทศจีน ดังนั้นบริษัทฯ จึงต้องปรับตัวให้สอดรับกับภาวะตลาดที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา รวมทั้งพัฒนานวัตกรรมใหม่ๆ เพื่อสร้างจุดแตกต่างด้านการตลาดและเพิ่มมูลค่าผลิตภัณฑ์
ล่าสุดบริษัทฯ มีการพัฒนาหลอดไฟแอลอีดีที่ติดตั้งวงจรป้องกันฟ้าผ่า (Surge Protection) เป็นรายแรกและรายเดียวของประเทศเพื่อทำให้ผู้บริโภคมั่นใจยิ่งขึ้น โดยขณะนี้เริ่มวางจำหน่ายแล้วและวางแผนที่จะติดตั้งวงจรดังกล่าวกับหลอดแอลอีดีทุกรุ่นในอนาคต โดยเร็วๆ นี้ยังจะมีการเปิดตัวผลิตภัณฑ์หลอดแอลอีดีอีกหลายชนิดเพื่อเจาะกลุ่มเป้าหมายเฉพาะเจาะจง เช่น หลอดแอลอีดีช่วยการเพิ่มการผลิตในภาคเกษตรกรรมและปศุสัตว์
“ในช่วงฤดูฝนเรามักจะเคยได้ยินข่าวผู้ประสบเหตุฟ้าผ่าเสียชีวิตบ่อยครั้ง ทำให้เกิดแนวคิดว่าต้องทำอย่างไรจึงจะเป็นส่วนหนึ่งในการป้องกันปัญหาเหล่านี้ได้ ทีมวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์จึงร่วมกันพัฒนาติดตั้งวงจรป้องกันฟ้าผ่าขึ้น ซึ่งได้ผ่านการทดสอบแล้วว่ามีประสิทธิภาพอย่างยิ่ง และถึงแม้ว่าการติดตั้งวงจรดังกล่าวจะส่งผลให้ราคาต้นทุนการผลิตสูงขึ้นแต่เรายังคงราคาไว้เช่นเดิม เพราะบริษัทฯ มองว่าหากทำให้ผู้ใช้หลอดไฟแลมป์ตั้นปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินย่อมส่งผลดีต่อภาพลักษณ์บริษัทในระยะยาว” ดร.กฤษฎากล่าวเสริม
ทั้งนี้ คุณสมบัติการทำงานของแผงติดตั้งวงจรป้องกันฟ้าผ่า เมื่อเกิดแรงดันไฟฟ้าที่สูงกว่าปกติมากในเวลาฉับพลัน วงจรป้องกันนี้จะทำการตัดไม่ให้กระแสไฟฟ้าเข้าไปทำลายตัววงจรหลัก เมื่อแรงดันกลับมาในสภาวะปกติ วงจรก็จะเปิดให้กระแสไฟฟ้าเข้าสู่วงจรตามปกติได้อย่างฉับไว