“ฉัตรชัย” สั่งแบ่ง 10 กลุ่มทำแผนดันส่งออก ขีดเส้น 1 เดือนได้ข้อสรุป หลังจากนั้นลุยขายของทันที ส่วนเป้าส่งออกปี 58 รอศุกร์นี้เคาะตัวเลขใหม่ คาดบวกได้ไม่ต่ำกว่า 1% ยันส่งออกไทยไม่ได้แย่ เผย 30 ประเทศท็อปส่งออกของโลก ส่วนใหญ่ยอดติดลบ มีแค่ 3 ประเทศที่บวก เอกชนเสนอฟื้นกองทุนช่วย SMEs แก้ปัญหาบาทแข็งกว่าคู่แข่ง พร้อมประเมินส่งออกทั้งปีน่าจะทำได้แค่ 0% หรือบวกเล็กน้อย
พล.อ.ฉัตรชัย สาริกัลยะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยภายหลังการประชุมหารือร่วมกับภาคเอกชนทั้งสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) และสภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย และหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องว่า ได้สรุปที่จะแบ่งกลุ่มสินค้าทั้งภาคเกษตร อุตสาหกรรมและบริการ รวมมากกว่า 10 กลุ่ม เพื่อทำแผนผลักดันการส่งออกเป็นรายสินค้าและรายตลาด โดยให้ดูว่าจะขยายตลาดทั้งที่เคยส่งออกแล้วและตลาดใหม่ๆ ได้อย่างไร โดยให้ทำแผนให้แล้วเสร็จภายใน 1 เดือน และจากนั้นจะเริ่มเดินหน้าทำงานทันที
“ได้ขอให้นางนันทวัลย์ ศกุนตนาค อธิบดีกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ ไปนัดหารือร่วมกับภาคเอกชนทุกกลุ่มที่กำหนดไว้ และให้ทำแผนให้เสร็จภายใน 1 เดือนว่าจะทำอะไรกันบ้าง สินค้าไหนมีโอกาส เอกชนเสนอให้ทำอะไร และเมื่อได้แผนออกมาแล้วผมจะเริ่มทำงานทันที ปูพรมพร้อมกัน เริ่มตั้งแต่เดือน มิ.ย.เป็นต้นไปเพื่อเพิ่มยอดการส่งออก” พล.อ.ฉัตรชัยกล่าว
สำหรับ 10 กลุ่มที่กำหนดเพื่อทำแผนผลักดันการส่งออก เช่น เกษตรและอาหาร เครื่องใช้ไฟฟ้าและชิ้นส่วน ยานยนต์และชิ้นส่วน สิ่งทอ อัญมณีและเครื่องประดับ วัสดุก่อสร้าง กลุ่มสินค้าสุขภาพ กลุ่มไลฟ์สไตล์ ลอจิสติกส์ และตลาด CLMV
พล.อ.ฉัตรชัยกล่าวว่า สำหรับการปรับปรุงเป้าหมายการส่งออก คาดว่าในวันศุกร์ที่ 24 เม.ย. 2558 กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศจะประกาศตัวเลขที่ได้ปรับปรุงทบทวนใหม่ โดยจะปรับลดลงจากเป้าหมายเดิม 4% ซึ่งตั้งไว้ตั้งแต่เดือน ต.ค. 2557 ซึ่งตอนนั้นประเมินเศรษฐกิจโลกกำลังฟื้นตัว และสถานการณ์ราคาน้ำมันก็ไม่ได้เป็นแบบนี้ ส่วนจะปรับลดเหลือเท่าไร คาดว่าไม่น่าต่ำกว่า 1% หรือมากกว่า 1% เพราะยังเชื่อว่าในช่วงครึ่งปีหลังเศรษฐกิจโลก เศรษฐกิจคู่ค้าน่าจะฟื้นตัวดีขึ้น และส่งผลให้การส่งออกกลับมาขยายตัวเป็นบวกได้
ทั้งนี้ การส่งออกของไทยเมื่อเปรียบเทียบกับประเทศอื่นๆ ยังไม่ถือว่าแย่มาก เพราะจากการตรวจสอบประเทศที่ส่งออกสูงสุด 30 อันดับแรกทั่วโลก พบว่าส่วนใหญ่ส่งออกติดลบทั้งหมด มีเพียง 3 ประเทศเท่านั้นที่การส่งออกเป็นบวก ได้แก่ จีน สวิตเซอร์แลนด์ และชิลี ส่วนฮ่องกงเสมอตัว
สำหรับปัญหาการส่งออกที่ภาคเอกชนได้เสนอแนะมา กระทรวงฯ จะทำการรวบรวมและประสานให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปดำเนินการแก้ไขต่อไป
นายสุพันธ์ มงคลสุธี ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวว่า ได้เสนอให้กระทรวงพาณิชย์เพิ่มงบประมาณในโครงการเอสเอ็มอี โปรแอ็กทีฟ เพื่อช่วยสนับสนุนเอสเอมอีให้มีโอกาสในการส่งออก หลังจากที่งบประมาณเดิมได้หมดลงและหยุดโครงการ ขอให้ผลักดันโครงการโปรดักต์ ออฟ ไทยแลนด์ โดยสนับสนุนให้มีการติดโลโก้ที่ระบุว่าเป็นสินค้าจากประเทศไทยเพื่อสร้างความน่าเชื่อถือ และเร่งจัดงานแสดงสินค้าระดับอาเซียน โดยร่วมกับประเทศอาเซียนอื่นๆ จัดร่วมกัน โดยเสนอให้จัดในปีหน้าเพื่อดึงดูดคนทั่วโลกมาชมและเลือกซื้อสินค้า
นอกจากนี้ ได้ฝากให้กระทรวงพาณิชย์ประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อเร่งแก้ไขปัญหาเงินบาทแข็งค่า โดยขณะนี้เงินบาทแข็งค่าขึ้น 1% ขณะที่คู่แข่งอย่างมาเลเซียอ่อนค่าลง 10% สิงคโปร์อ่อนค่า 5-6% อินโดนีเซีย 5-6% และเวียดนาม 2% ซึ่งได้ส่งผลกระทบต่อขีดความสามารถในการแข่งขัน ทำให้การส่งออกมีปัญหา และยังถือว่าเงินบาทไทยแข็งค่ามากที่สุดในโลก โดยติดอันดับ 1 ใน 3 ของประเทศที่เงินแข็งค่า
นายกลินท์ สาระสิน รองประธานสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย กล่าวว่า ได้เสนอให้คณะกรรมการพัฒนาการส่งออกควรมีการประชุมต่อเนื่องเพื่อเร่งแก้ไขปัญหาการส่งออก และเสนอให้เร่งส่งเสริมการค้าชายแดนเพราะมีโอกาสมาก รวมทั้งขอให้เร่งสนับสนุนให้มีศูนย์กระจายสินค้าไทยในประเทศต่างๆ และผลักดันให้ไทยมีชื่ออยู่ในลิสต์ของยูเอ็นเพื่อสร้างโอกาสในการส่งออกสินค้าอาหาร
นายวัลลภ วิตนากร รองประธานสภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย กล่าวว่า เอกชนประเมินว่าการส่งออกไตรมาสแรกน่าจะติดลบ 4-5% แต่ไตรมาส 2 จะเริ่มส่งออกได้ทรงตัว และไตรมาส 3 และ 4 จะกลับมาส่งออกได้ดีขึ้น โดยคาดว่าน่าจะขยายตัวเป็นบวกได้ประมาณไตรมาสละ 3% จากการที่เศรษฐกิจโลกเริ่มฟื้นตัว และจะทำให้การส่งออกทั้งปีโตได้ในระดับ 0% หรือเป็นบวกเล็กน้อย ซึ่งไม่รู้ว่ากระทรวงพาณิชย์ตั้งเป้าใหม่ไว้เท่าไร แต่เอกชนประเมินตามสถานการณ์ที่เกิดขึ้น