ASTVผู้จัดการรายวัน - “เมเจอร์” ปักธงอีก 5 ปี โตเท่าตัวทะลุ 20,000 ล้านบาท ด้วยจำนวนโรงหนังกว่า 1,000 โรงทั้งในไทยและเซาท์อีสต์เอเชีย ชี้ลุยต่างประเทศหวังต่อยอดธุรกิจหนังไทยในเครือ ล่าสุดปีนี้อัดงบกว่า 1,500 ล้านบาท ผุด 100 โรง มากสุดเป็นประวัติการณ์ เหตุค้าปลีกทะลัก ประเดิม “ควอเทียร์ ซีนีอาร์ต” โรงภาพยนตร์สุดล้ำ ด้วยทุน 500 ล้านบาท มั่นใจช่วยดันรายได้รวมปีนี้โตไม่ต่ำกว่า 15% จากปีก่อนปิดรายได้ที่10,000 กว่าล้านบาท
นายวิชา พูลวรลักษณ์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ กรุ้ป จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า บริษัทฯ วางแผนการลงทุนในอีก 5 ปีข้างหน้า หรือภายในปี 2020 จะมีจำนวนภาพยนตร์ทั้งสิ้น 1,000 โรง แบ่งเป็นในประเทศ 900 โรง และต่างประเทศในกลุ่ม CLMV อีก 100 โรง ด้วยจำนวนรายได้ที่เติบโตขึ้นเป็นเท่าตัว หรือไม่ต่ำกว่า 20,000 ล้านบาท จากปัจจุบันรายได้รวมอยู่ที่ 10,000 กว่าล้านบาท ด้วยจำนวนภาพยนตร์ทั้งสิ้น 527 โรง
ล่าสุดในปีนี้บริษัทฯ พร้อมใช้งบกว่า 1,500 ล้านบาท สำหรับขยายจำนวนภาพยนตร์ใหม่อีก 100 โรง สูงสุดตั้งแต่ดำเนินการมา เนื่องจากปีนี้ค้าปลีกคึกคัก มีโครงการใหม่ๆ เกิดขึ้นมากมาย เช่น เซ็นทรัลระยอง, เซ็นทรัล บางใหญ่, เซ็นทรัล เอกมัย รามอินทรา และแบงคอกมอลล์ เป็นต้น จากปกติเปิดใหม่ปีละ 40 โรงเท่านั้น โดยโครงการแรกที่เปิดให้บริการในปีนี้คือ “ควอเทียร์ ซีนีอาร์ต” ที่ดิ เอ็ม ควอเทียร์ ด้วยงบลงทุนกว่า 500 ล้านบาท จำนวน 8 โรง ภายใต้คอนเซ็ปต์โรงภาพยนตร์สุดล้ำแห่งอนาคต ทั้งรูปแบบ Screen X, IMAX, Premium Laser Projector และ CineRobot พร้อม 4 พันธมิตร ร่วมสนับสนุนเป็นเมนสปอนเซอร์ 4 โรง
ส่วนแผนลงทุนในต่างประเทศจะมีการเจรจาลงทุนในประเทศลาวเพิ่มอีก 1 แห่ง เป็นการลงทุนร่วมกับพันธมิตรท้องถิ่น เน้นเมืองหลวงเป็นหลัก ภายในไตรมาสองนี้น่าจะสรุปความคืบหน้าได้ ส่วนประเทศอื่นที่สนใจลงทุนอีกคือ เมียนมาร์ จากปัจจุบันมีการลงทุนแล้วในปีก่อน 2 ประเทศคือ กัมพูชาและเวียดนาม โดยในกัมพูชากำลังมีความเป็นไปได้ที่จะขยายสาขาที่ 2 เพิ่มในอีก 2 ปีหลังจากนี้
“บริษัทฯ จะเน้นการขยายสาขาในกลุ่มประเทศ CLMV เป็นหลัก เนื่องจากพบว่าเป็นประเทศที่ให้การตอบรับภาพยนตร์ไทยค่อนข้างดีมาก เช่น ในกัมพูชาปัจจุบันสัดส่วนภาพยนตร์ไทยมีแชร์กว่า 70% ถือเป็นการต่อยอดธุรกิจภาพยนตร์ไทยของกลุ่มเมเจอร์ไปสู่ตลาดต่างประเทศได้เป็นอย่างดี จากปัจจุบันที่มีบริษัทผลิตภาพยนตร์ประมาณ 3 บริษัทที่มีการร่วมทุนกับต่างประเทศทั้งจีนและเกาหลี โดยปีนี้จะมีภาพยนตร์ออกฉายทั้งสิ้น 12 เรื่อง เม็ดเงินลงทุนรวมกว่า 500-600 ล้านบาท”
นายวิชา กล่าวต่อว่า ภาพรวมจำนวนโรงภาพยนตร์ในประเทศไทยปีนี้น่าจะมีเปิดเพิ่มอีกประมาณ 900 โรง จากปัจจุบันอยู่ที่ 850 โรง โดยไทยถือเป็นอันดับหนึ่งในเซาท์อีสต์เอเชียที่มีจำนวนโรงภาพยนตร์มากสุด และอยู่ในอันดับสามของเอเชีย รองจากจีนที่มีกว่า 25,000 โรง เกาหลี 2,300 โรง ขณะที่มาเลเซียเป็นอีกประเทศที่มีโรงภาพยนตร์เติบโตต่อเนื่องจากปัจจุบันมีกว่า 600 โรง และจะเพิ่มขึ้นอีก 200 โรงในปีนี้
อย่างไรก็ตาม จากการเติบโตของจำนวนโรงภาพยนตร์และจากรายชื่อภาพยนตร์ที่ทำเงินจากฮอลลีวู้ดที่พร้อมเข้าฉายตลอดทั้งปี เช่น ฟาสต์7, เทอร์มิเนเตอร์, อเวนเจอร์, มิสชั่น อิมพอสซิเบิล เป็นต้น เชื่อว่าปีนี้จะเป็นอีกปีหนึ่งที่อุตสาหกรรมภาพยนตร์จะยังเติบโตต่อเนื่องและดีกว่าปีที่ผ่านมา ในส่วนของเมเจอร์เชื่อว่าปีนี้จะมีอัตราการเติบโตที่ 15% จากปีก่อนโต 12% หรือมีรายได้รวมกว่า 10,000 ล้านบาท โดยไตรมาสแรกของปีนี้ รายได้ยังเติบโตตามแผนที่วางไว้