หุ้นเช้าร่วงกว่า 10 จุด ทิศทางเดียวกับต่างประเทศ แถมมีปัจจัยในประเทศกดดัน ส่งผลให้มีแรงขายในกลุ่มบิ๊กแคบ “เอเชีย เวลท์” เตือนระวังเทรดดิ้งช่วงดัชนีฯ แกว่งลงจากความไม่แน่นอนทั้งในและนอกประเทศ ระบุ SET Index กำลังมีการเคลื่อนไหวเป็น Side way down หากสิ้นเดือนนี้ปิดต่ำกว่า 1,497 จุด จะเป็นการส่งสัญญาณขาย
ภาวะตลาดเช้าไทยเช้านี้ (24 มี.ค.) ดัชนีหุ้นไทยปรับตัวลงในแดนลบ โดยเมื่อเวลา 10.36 น. ดัชนีปรับไปที่ 1,506.86 จุด ลดลง 13.15 จุด หรือเปลี่ยนแปลง -0.87% มูลค่าการซื้อขาย 10,645.48 ล้านบาท
นักวิเคราะห์ระบุว่า ตลาดหุ้นไทยเช้านี้ร่วงกว่า 10 จุด เป็นไปในทิศทางตลาดหุ้นต่างประเทศที่ส่วนใหญ่ปรับลดลง รวมถึงยังมีปัจจัยภายในประเทศกดดัน ทำให้มีแรงขายนำออกมาในหุ้นกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ สื่อสาร แบงก์ และพลังงาน ฉุดดัชนีปรับลดลงต่อเนื่อง
นายวรุตม์ ศิวะศริยานนท์ กรรมการผู้จัดการ สายงานวิจัย บล.เอเชีย เวลท์ กล่าวว่า การลงทุนในหุ้นสัปดาห์นี้แนะนำให้ผู้ลงทุนระมัดระวังการ Trading เพื่อทำกำไร เนื่องจาก SET Index กำลังมีการเคลื่อนไหวเป็น Side way down ทั้งนี้ ทางด้านเทคนิคหากสิ้นเดือนนี้ SET Index ปิดต่ำกว่า 1,497 จุด จะเป็นการส่งสัญญาณขาย (Sell signal) ของเดือน หลังการปิดด้วยสัญญาณขายในระยะวัน และสัปดาห์มาก่อนหน้าแล้ว ประกอบกับในเดือนเมษายน เป็นช่วงการจ่ายเงินปันผลของบริษัทจดทะเบียน ซึ่งจะทำให้ราคาหุ้นปรับตัวลดลงอยู่แล้ว แต่สำหรับมุมมองระยะยาว บล.เอเชีย เวลท์ ยังคงมีมุมมองบวกต่อการลงทุนในหุ้น
แม้เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) แถลงว่า จะไม่เร่งรีบขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายในรอบการประชุมนี้ แต่ยังไม่ได้ถอดคำกล่าวที่ว่า อาจจะขึ้นอัตราดอกเบี้ยได้ตั้งแต่มิถุนายนนี้ออกไปแต่อย่างใด แม้ว่า Fed ได้ปรับลดแนวโน้วระดับอัตราดอกเบี้ยในระยะยาว และ GDP ปีนี้ลง
อย่างไรก็ตาม ความเป็นไปได้ว่า Fed อาจมีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเมื่อไรก็ได้ยังคงอยู่ ซึ่งส่งผลให้ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐ (USD) อยู่ในแนวโน้มแข็งค่าระยะยาว และกระทบต่อธุรกิจบริษัทข้ามชาติของสหรัฐฯ ที่กำไรในรูปดอลลาร์จะลดลง
ทั้งนี้ แม้ตัวเลขการจ้างงานจะปรับตัวดีขึ้น แต่ตัวเลขเศรษฐกิจอื่นๆ ยังคงมีปัญหา เช่น ตัวเลขการผลิตภาคอุตสาหกรรม ยอดขายบ้านใหม่ ยอดสั่งซื้อสินค้าคงทน เป็นต้น ดังนั้น หาก Fed มีการปรับอัตราดอกเบี้ยขึ้นเร็วเกินไปอาจส่งผลลบต่อการขยายตัวของ GDP สหรัฐฯ ซึ่งสภาวะเช่นนี้ทำให้ตลาดหุ้นทั่วโลกยังได้รับความกดดัน และมีความผันผวนสูง รวมทั้ง SET Index ด้วย
สำหรับปัจจัยภายในประเทศ ด้านการเมืองช่วงสิ้นเดือนมีนาคมนี้ รัฐธรรมนูญฉบับร่างจะเสร็จสิ้นกระบวนการ หากไม่มีปัญหาอื่นๆ ระหว่างดำเนินการ คาดว่ารัฐธรรมนูญฉบับสมบูรณ์จะเสร็จสิ้นภายในเดือนกันยายนนี้ และคาดว่าจะมีการเลือกตั้งในเดือนกุมภาพันธ์ 2559
ส่วนด้านการเติบโตทางเศรษฐกิจ หลังจากที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้ปรับลดอัตราการเติบโตของ GDP ปี 2558 ลงเหลือ 3.8% ซึ่งเป็นการเพิ่มความไม่แน่นอนในการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยปีนี้ ทั้งนี้ ในช่วงไตรมาส 1 ตัวเลขการส่งออกยังไม่ฟื้นตัวเท่าที่ควร และการใช้จ่ายของภาครัฐยังไม่มากเทียบเป้า ทำให้คาดว่าการเติบโตของ GDP ในไตรมาสแรกของปีนี้น่าจะอยู่ที่ประมาณ 3%
นายวรุตม์ กล่าวอีกว่า ช่วงนี้ทาง บล.เอเชีย เวลท์ แนะนำลงทุนในหุ้น MAJOR โดยคาดว่า MAJOR จะมีกำไรจากผลการดำเนินงานปี 58 นี้ที่ระดับ 38% จากการขยายธุรกิจจอภาพยนตร์ เพิ่ม 97 จอ และมีโรงภาพยนตร์ใหม่ขนาด 8 จอ ที่ศูนย์การค้าเอ็มควอเทียร์ ของ The Mall Group ซึ่งจะสร้างรายได้จากสปอนเซอร์เพิ่มเติมในช่วง 3-5 ปี โดยมองราคาเป้าหมายปีนี้ที่ 38 บาท