ASTVผู้จัดการรายวัน - นันยาง ประกาศรุกกลุ่มเด็กเล็ก 6-9 ขวบเป็นครั้งแรก ด้วยการเปิดตัวสินค้าใหม่ล่าสุด “นันยาง แฮฟ ฟัน ใหม่” (Nanyang Have Fun) หวังขยายแชร์ตลาดรวมเพิ่มขึ้นเป็น 42% ในปี 58 เตรียมอัดงบ 70 ล้านบาทขยายแชร์สานต่อความเป็นเจ้าตลาด ยังยึดโซเชียลมีเดียเป็นหัวหอกหลัก พร้อมเปิดตัวภาพยนตร์โฆษณาชุดใหม่ “หนานุ่ม” เริ่มออนแอร์พร้อมกันทั่วประเทศแล้ววันนี้เพื่อสร้างกระแสก่อนเปิดเทอม
นายจักรพล จันทวิมล ผู้จัดการฝ่ายการตลาด บริษัท นันยางมาร์เก็ตติ้ง จำกัด เปิดเผยว่า ในปี 2557 นันยางสามารถสร้างอัตราการเติบโตได้ใกล้เคียงกับเป้าหมายที่วางไว้อยู่ที่ 5-8% โดยยังคงให้ความสำคัญต่อโซเชียลมีเดียในการรักษาและขยายฐานลูกค้า ตลอดจนสร้างการรับรู้ (Brand awareness) และแบรนด์ลอยัลตี (Brand Loyalty) ตลอดทั้งปี นอกจากนี้ ตลอดปีที่ผ่านมาประเทศไทยต้องเผชิญกับปัญหายางราคาตกต่ำจนกลายเป็นวิกฤตที่ต้องเร่งแก้ไข นันยาง ในฐานะผู้ประกอบธุรกิจที่ใช้ยางพาราแท้ของไทย 100% เป็นส่วนหนึ่งในการผลิต จึงได้สร้างสรรค์แคมเปญรณรงค์พิเศษขึ้นในช่วงปลายปี เพื่อกระตุ้นให้คนไทยหันมาอุดหนุนผลิตภัณฑ์ที่ผลิตจากยางพาราไทยภายใต้โครงการ 'ใช้ยางไทย ใส่ช้างดาว'
“ในปี 2558 นันยางตั้งเป้าการเติบโตไว้ที่ 5-8% ดังเช่นปีที่ผ่านมา โดยในปีนี้เราได้ใช้งบการตลาดรวม 70 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 20% จากปีที่แล้ว ซึ่งการรุกตลาดในครั้งนี้ นันยางหวังที่จะขยายส่วนแบ่งทางการตลาดเพิ่มขึ้นประมาณ 5% หรือจากเดิมเรามีส่วนแบ่งอยู่ที่ 40% ของตลาดรวมรองเท้าผ้าใบนักเรียนไทย ขยายเป็น 42% ในปีนี้ สาเหตุที่เรามั่นใจว่าจะสามารถขยายส่วนแบ่งทางการตลาดได้นั้น เพราะในปีนี้นันยางได้นำเสนอผลิตภัณฑ์ใหม่ "นันยาง แฮฟ ฟัน ใหม่ (Nanyang Have Fun)" เพื่อขยายฐานลูกค้าสู่กลุ่มเด็กเล็กอายุระหว่าง 6-9 ขวบ เป็นครั้งแรก เพื่อเพิ่มทางเลือกให้แก่ผู้บริโภค และจะเป็นครั้งแรกที่นันยางมีสินค้ารองเท้าผ้าใบที่ตอบโจทย์ครบทุกระดับอายุ” นายจักรพล จันทวิมล กล่าว
ทั้งนี้ 'นันยาง แฮฟ ฟัน ใหม่ (Nanyang Have Fun)' ถูกพัฒนาขึ้นภายใต้นวัตกรรมใหม่ล่าสุดจากนันยางที่ชื่อว่า 'Spring Soft Support' ที่ทำให้พื้นรองเท้าหนาเพิ่มขึ้นถึง 28% นุ่ม เบา ลาดเอียงรับรูปเท้า รองรับน้ำหนักได้ดียิ่งขึ้นกว่าเดิม เหมาะสำหรับเด็กในวัย 6-9 ขวบ เนื่องจากเป็นช่วงที่มีพัฒนาการด้านกระดูก และกล้ามเนื้อมากที่สุด สามารถรองรับต่อกิจกรรมที่ต้องใช้การเคลื่อนไหวอยู่ตลอด เช่น การวิ่ง การกระโดด เพื่อกระตุ้นการสร้างมวลกระดูกและความแข็งแรงให้แก่กล้ามเนื้อ ดังนั้น รองเท้าที่เหมาะกับเด็กวัยนี้จึงต้องมีพื้นรองเท้าที่นุ่ม ยืดหยุ่น รับน้ำหนักตัวได้ดี และต้องปลอดภัย ไม่ลื่นในระหว่างสวมใส่ 'นันยาง แฮฟ ฟัน ใหม่ (Nanyang Have Fun)' มีให้เลือกในขนาด (เบอร์) 28-33 จำหน่ายในราคาเพียงคู่ละ 285 บาทเท่านั้น
ด้านนายชัยพัชร์ ซอโสตถิกุล รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท นันยางอุตสาหกรรม จำกัดกล่าวถึงการพัฒนานวัตกรรม 'Spring Soft Support' ว่า นวัตกรรมดังกล่าวถือเป็นนวัตกรรมล่าสุดที่คิดค้นโดยฝ่ายวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ของนันยาง ซึ่งเป็นการผสมผสานระหว่าง (ส่วนบน) น้ำยางบริสุทธิ์ที่มีอนุภาคเล็ก (C5H8) ผ่านส่วนผสมและกระบวนการผลิตและความร้อนที่อุณหภูมิ 70 องศาเซลเซียส กับ (ส่วนล่าง) แผ่นยางธรรมชาติแท้ 100% (Natural Rubber) ที่รีดเอาน้ำยางออกจนแห้งเป็นลักษณะ Dry Rubber Content (DRC) ที่ส่งผลให้พื้นรองเท้ามีคุณสมบัติของความหนา นุ่ม คืนตัวเร็ว และรองรับการกระแทกได้ดี โดยพื้นรองเท้า Spring Soft Support ลิขสิทธิ์จากนันยางถูกนำมาเติมเต็มในรองเท้ารุ่นใหม่ นันยาง แฮฟ ฟัน (Nanyang Have Fun) ที่ออกแบบมาเพื่อเด็กวัย 6-9 ขวบโดยเฉพาะ โดยกลุ่มผลิตภัณฑ์ นันยาง แฮฟ ฟัน ได้ถูกพัฒนาขึ้นเป็นครั้งแรกในปี 2556 และมีอัตราการเติบโตอย่างต่อเนื่องมาตลอด 2 ปีที่ผ่านมาเฉลี่ยที่ 12-15% ต่อปี ในปีนี้นันยางจึงเพิ่มนวัตกรรม Spring Soft Support เข้ามาเพื่อขยายสู่กลุ่มเด็กเล็ก และเราคาดหวังการเติบโตของกลุ่มสินค้านันยาง เฮฟ ฟัน เพิ่มขึ้น 20% จากปีที่ผ่านมา หรือคิดเป็น 30% ของยอดขายรวมของกลุ่มสินค้ารองเท้าผ้าใบนันยางทั้งหมด
“นันยางถือเป็นแบรนด์แรกของเมืองไทยที่พัฒนารองเท้าผ้าใบนักเรียนสำหรับเด็กอายุ 6-9 ขวบโดยเฉพาะ และถือเป็นครั้งแรกเช่นกันที่เราจะลงชิงแชร์ในกลุ่มตลาดรองเท้านักเรียนเด็กเล็กอย่างเต็มตัว หลังจากที่เราครองความเป็นเบอร์หนึ่งในกลุ่มรองเท้าผ้าใบสำหรับวัยรุ่นเราจึงเห็นโอกาสและใช้การพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่เพื่อตอบโจทย์ความต้องการ และใช้กลยุทธ์สื่อสารการตลาดทุกช่องทางให้เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายมากที่สุด” นายชัยพัชร์ ซอโสตถิกุล กล่าว
ด้านมุมมองของนันยางต่อการเติบโตของธุรกิจรองเท้านักเรียนในปี 2558นั้น นายจักรพล จันทวิมล กล่าวสรุปในประเด็นดังกล่าวว่า คาดว่าในปีนี้มูลค่าตลาดรวมของรองเท้านักเรียนจะอยู่ที่ 5,000 ล้านบาท โดยคาดว่าแต่ละแบรนด์จะทุ่มงบการตลาดสูงสุดในช่วงก่อนเปิดภาคเรียนที่กำลังจะมาถึงในเดือนพฤษภาคมนี้
ทั้งนี้ รองเท้านักเรียนยังถือเป็นสินค้าจำเป็นจึงทำให้ตลาดไม่หดตัว เชื่อว่าผู้ปกครองจะพิจารณาถึงคุณภาพมากกว่าราคาแต่ก็ขึ้นอยู่กับฐานะและเม็ดเงินในกระเป๋าเช่นกัน ส่วนใหญ่ผู้ปกครองจะซื้อรองเท้าพร้อมๆ กับชุดนักเรียนในช่วงหลังสงกรานต์จนถึงเปิดเทอมเฉลี่ย 1.3 คู่/คน/ปีการศึกษา
“ในปีนี้นอกจากการโฆษณาผ่านโทรทัศน์แล้ว เรายังคงรุกขยายแบรนด์ผ่านช่องทางโซเชียลมีเดีย โดยได้ร่วมกับ เฟ็ดเฟ (FEDFE) กลุ่มสุดเกรียนที่โด่งดังมากในโลกออนไลน์เพื่อสร้างเซอร์ไพรส์รับเปิดเทอม พร้อมทั้งสร้างสรรค์กิจกรรมสนุกๆ สุดแนวสไตล์นันยางผ่านทางเฟซบุ๊ก ซึ่งปัจจุบันเรามีแฟนเพจรวม 300,000 คน เชื่อว่าปีนี้เราจะสามารถเพิ่มจำนวนแฟนเพจให้ได้ถึง 350,000 คนอย่างแน่นอน” นายจักรพล จันทวิมล กล่าวสรุป