ผู้ค้าแนะกระทรวงพลังงานเคาะตรึงราคาแอลพีจีที่ต้องประกาศเปลี่ยนแปลงตามราคาโลกเดือน มี.ค. 58 นี้ เพื่อดูแลค่าครองชีพประชาชนท่ามกลางเศรษฐกิจที่ชะลอตัว จับตาถก “กบง.” เคาะขึ้น 10 สตางค์ต่อ กก. หรือตรึงราคา
นายชิษณุพงศ์ รุ่งโรจน์งามเจริญ นายกสมาคมผู้ค้าก๊าซปิโตรเลียมเหลว (แอลพีจี) เปิดเผยว่า จากนโยบายรัฐบาลที่ประกาศปรับโครงสร้างราคาแอลพีจีด้วยการลอยตัวราคาให้อิงตลาดโลกซึ่งจะมีการปรับเปลี่ยนราคาทุกเดือนนั้น ในเดือน มี.ค. 58 เห็นว่าราคาตลาดโลกแม้จะขยับแต่ก็ยังถือว่าไม่มากนัก จึงเห็นว่ากระทรวงพลังงานควรจะตรึงราคาขายปลีกแอลพีจีที่ปัจจุบันอยู่ระดับ 24.16 บาทต่อกิโลกรัม (กก.) เพื่อดูแลค่าครองชีพของประชาชนที่ปัจจุบันแรงซื้อประชาชนก็ถดถอยทำให้เศรษฐกิจชะลอตัวลงอยู่แล้ว
นอกจากนี้ เห็นว่าราคาแอลพีจีที่ขยับขึ้นมาอย่างต่อเนื่องจนสู่ระดับ 24.16 บาทต่อ กก.ก็ครอบคลุมกับต้นทุนที่แท้จริงได้มากพอสมควร จนทำให้กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงไม่มีภาระอุดหนุนส่วนต่างราคาเช่นอดีต และฐานกองทุนน้ำมันฯ ปัจจุบันก็มีสูงกว่า 3 หมื่นล้านบาทแล้ว
แหล่งข่าวจากกระทรวงพลังงานกล่าวว่า ที่ผ่านมารัฐได้ประกาศราคาแอลพีจีหน้าโรงกลั่น โรงแยก และการนำเข้าเฉลี่ยอยู่ที่ 488 เหรียญต่อตัน หรือคิดเป็นราคาแอลพีจีขายปลีกครัวเรือน ขนส่ง อุตสาหกรรมอยู่ที่ 24.16 บาทต่อ กก. แต่ราคาตลาดโลก ก.พ.ต่ำกว่าราคาดังกล่าวจึงทำให้มีเงินไหลเข้ากองทุนน้ำมันฯ ปัจจุบันอยู่ที่ 0.53 บาทต่อ กก. ซึ่งเงินดังกล่าวได้เก็บสะสมไว้เพื่อแยกบัญชีออกมาตามจุดประสงค์ที่ไม่ต้องการให้มีการอุดหนุนราคาข้ามประเภทเช่นที่ผ่านมา อย่างไรก็ตาม ราคาเดือน มี.ค.จากตลาดโลกที่ 490 กว่าเหรียญต่อตันทำให้ราคาแอลพีจีขายปลีกจะขยับขึ้น 10 สตางค์ต่อ กก. ทั้งนี้จึงขึ้นอยู่ที่รัฐจะพิจารณาว่าควรตรึงหรือไม่อย่างไร โดยหากตรึงก็สามารถลดเงินกองทุนฯ ที่เก็บได้เพราะอัตราไม่มาก