“หอแว่น” เปิดเกมรุก ตปท. เน้นตลาด CLMV ประเดิมเวียดนาม ร่วมทุนพันธมิตรท้องถิ่นเปิดสาขาแรกแล้ว “WIZ CONNECTION” พร้อมลุยแคมเปญใหญ่ในไทย หวังดันรายได้เติบโต 20% ปีนี้
นายภาคี ประจักษ์ธรรม กรรมการผู้จัดการ บริษัท หอแว่น กรุ๊ป จำกัด ผู้บริหารร้านแว่นตาเชนสโตร์ “หอแว่น” เปิดเผยว่า บริษัทฯ มีแผนที่จะรุกตลาดต่างประเทศมากขึ้น หลังการเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน หรือเออีซีในปี 2558 โดยเบื้องต้นเน้นไปที่กลุ่มประเทศซีแอลเอ็มวี (CLMV กัมพูชา ลาว พม่า และเวียดนาม) โดยเริ่มต้นการลงทุนไปแล้วประเทศแรกที่เวียดนาม
โดยการร่วมทุนกับพันธมิตรท้องถิ่นเวียดนาม เปิดร้านแว่นตาชื่อ “วิซ คอนเนกชัน” (WIZ CONNECTION) ที่ศูนย์การค้าอิออนในเมืองที่ใกล้กับโฮจิมินห์ห่างกันประมาณ 50 กิโลเมตร ลงทุนประมาณ 5-6 ล้านบาท ซึ่งเป็นร้านที่จำหน่ายแว่นตาแบรนด์เดียวคือ วิซ ที่จะมีสินค้าทั้งแว่นตา และเสื้อผ้า รวมทั้งอุปกรณ์เสริมต่อเนื่องหรือแอ็กเซสซอรีต่างๆ ด้วย เน้นความเป็นแฟชั่น จับกลุ่มเป้าหมายวัยรุ่น เปิดเมื่อเดือนพฤศจิกายน ปี 2557 ซึ่งยังอยู่ในช่วงของการทดลอง แต่ก็ได้รับผลตอบรับอย่างดี โดยปีนี้มีแผนที่จะขยายเพิ่มอีก 1 สาขาที่เวียดนาม
อย่างไรก็ตาม ในส่วนของประเทศอื่น เช่น กัมพูชา ลาว และพม่า คงต้องทำการศึกษาอย่างละเอียดก่อน ซึ่งบริษัทฯ ไม่ได้มีความเร่งรีบในการที่จะขยายธุรกิจแต่อย่างใด เพราะแต่ละประเทศก็มีความแตกต่างกันไปทั้งด้านประชากร พฤติกรรมการบริโภค กฎหมายต่างๆ และที่สำคัญบริษัทฯ ต้องพิจารณาผู้ที่จะมาร่วมเป็นพันธมิตรด้วย
ขณะที่ในต่างประเทศนั้นบริษัทฯ มีร้านหอแว่นที่เปิดดำเนินการอยู่ก่อนแล้วประมาณ 20 สาขา เป็นการร่วมทุนกับพันธมิตรเหมือนกันที่ทำมานานแล้วที่สิงค์โปร์กับมาเลเซีย
สำหรับแผนธุรกิจในไทยปีนี้ตั้งเป้าหมายรายได้เติบโตสูงถึง 20% ขณะที่ปีที่แล้วเติบโตประมาณ 8% ขณะที่ตลาดรวมปีที่แล้วเติบโต 5% จากมูลค่ากว่า 7,000-8,000 ล้านบาท ซึ่งปีนี้เป็นปีที่ครบรอบการดำเนินธุรกิจ 50 ปี จะมีการทำแคมเปญการตลาดครั้งใหญ่ในรอบ 10 ปี ด้วยงบประมาณตลาดสูงถึง 10 ล้านบาท โดยช่วงแรกคือวันที่ 1 มกราคม-30 พฤษภาคม ชิงรางวัลใหญ่ๆ เช่น รถฮอนด้าซิตี้ 1 คัน สร้อยคอทองคำ 20 รางวัล รางวัลละ 1 บาท เป็นต้น ส่วนครึ่งปีหลังก็มีรางวัลรถฮอนด้าแอคคอร์ด 1 คัน สร้อยคอทองคำ จี้ทองคำ คูปองเงินสด 5,000 บาท 30 รางวัล เป็นต้น
ส่วนการขยายสาขาในไทยมีปกติเหมือนทุกปีแต่ไม่มาก จากปัจจุบันมีประมาณ 120 สาขา ซึ่งช่วง 5 ปีที่ผ่านมาก็มีทั้งเปิดและปิดสาขาเฉลี่ยกันไป ซึ่งมีทั้งการครบสัญญาเช่าที่ดิน กับยอดขายไม่ค่อยดี
“ตลาดค้าปลีกในไทยค่อนข้างจะโอเวอร์ซัปพลาย เมื่อเทียบกับกำลังซื้อของผู้บริโภค ไม่แตกต่างกับธุรกิจร้านแว่นตาที่มีการแข่งขันด้านราคากันหนัก แต่เราไม่เน้นเรื่องราคา แต่จะเน้นเรื่องการบริการ คุณภาพสินค้า เป็นหลัก ปีนี้ฐานลูกค้าเราอาจจะไม่เพิ่มมากนักเพราะเศรษฐกิจไม่ค่อยดี ส่วนการทำโปรโมชันนั้นจะได้ลูกค้าใหม่ๆ เป็นหลัก จากฐานลูกค้าปัจจุบันที่มีประมาณ 800,000 ราย แต่มีการติดต่อประจำประมาณ 300,000 ราย โดยที่จะเน้นเรื่องการทำซีอาร์เอ็มด้วย และเน้นเรื่องการทำอีนิวส์เลตเตอร์ ซึ่งได้ผลมาก ส่วนงบซื้อสื่อทีวี สิ่งพิมพ์เราลดลงเพราะไม่ค่อยได้ผลในปัจจุบัน” นายภาคีกล่าว