บล.เออีซี ตั้งเป้ารายได้ปีนี้เติบโตจากปีที่แล้วถึง 50% คาดจะมีรายได้แตะ 1,000 ล้านบาท และส่วนแบ่งการตลาดในปีนี้ไว้ที่ไม่น้อยกว่า 4% พร้อมทุ่มงบกว่า10 ล้านบาท ขยายสาขาทั้งใน และต่างประเทศเพิ่ม เพื่อรองรับงานด้านควบรวม และซื้อกิจการมูลค่าหลายพันล้านบาท
นายประพล มิลินทจินดา ประธานคณะกรรมการบริหาร และรักษาการประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บล.เออีซี (AEC) กล่าวว่า บริษัทฯ ตั้งเป้ารายได้ปีนี้คาดว่ารายได้จะเติบโตไม่ต่ำกว่า 1,000 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 50% จากปีที่แล้ว ซึ่งบริษัทได้วางกลยุทธ์ใหม่ด้วยการเน้นรุกธุรกิจวาณิชธนกิจและธุรกรรมต่างประเทศเพิ่มมากขึ้น โดยสัดส่วนรายได้จะแบ่งเป็นธุรกิจนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ 30% รายได้จากธุรกิจในต่างประเทศ 40% และธุรกิจในส่วนของวาณิชธนกิจ 30% โดยตั้งเป้าส่วนแบ่งการตลาดในปีนี้ไว้ที่ไม่น้อยกว่า 4%
นอกจากนี้ บริษัทฯ เตรียมที่จะเข้าไปลงทุนเปิดสาขาในต่างประเทศกลุ่ม AEC ได้แก่ อินโดนีเซีย กัมพูชา พม่า เวียดนาม และลาว โดยใช้งบลงทุนประมาณ 5-10 ล้านบาท ในช่วงแรกประเทศละ 1 แห่ง และการเตรียมเปิดสาขาในประเทศเพิ่มเติมในต่างจังหวัด 6 แห่ง เช่น นครราชสีมา ชลบุรี ขอนแก่น รวมเป็น 19 แห่ง ขณะที่งานในด้านต่างประเทศนั้น ได้มีการเจรจางานในลักษณะการเข้าควบรวม และซื้อกิจการ (Mergers and acquisitions : M&A) และการร่วมกันกับพันธมิตรคือ สยามพรีเมียร์ ในการลงทุนกองทุนส่วนบุคคลเพื่อลงทุนในต่างประเทศซึ่งมีมูลค่าการลงทุนหลายพันล้านบาท โดยธุรกิจที่มีความโดดเด่น ได้แก่ การลงทุนในธุรกิจโครงสร้างพื้นฐาน สุขภาพและความงาม ธุรกิจด้านการการศึกษา และสาธารณูปโภคด้านพลังงาน และสินค้าเกษตรกรรม นอกจากนี้ ในส่วนของงานด้านวาณิชธนกิจในประเทศ ขณะนี้บริษัทฯ มีสัญญากับบริษัทจดทะเบียนที่จะเข้าระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย และตลาดหลักทรัพย์ mai อย่างน้อย 5 บริษัท โดยมีมูลค่าระดมทุนรวมกว่า 5,000 ล้านบาท
ขณะที่ นายเกรียงไกร ทำนุทัศน์ นักวิเคราะห์กลยุทธ์อาวุโส บล.เออีซี (AEC) กล่าวถึงแนวโน้มดัชนี SET Index ในปีนี้ซึ่งประเมินไว้คาดว่าจะอยู่ที่ 1,680 จุด โดยผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนไทยคาดว่าจะขยายตัวเพิ่มขึ้นถึง 13% จากปีที่แล้วที่ขยายตัวเพียง 1% ขณะที่อัตราผลตอบแทนในการลงทุนของตลาดหุ้นปีนี้คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 15.2% ซึ่งส่วนใหญ่มาจากผลตอบแทนของการปรับขึ้นของดัชนีที่ระดับ 12% และอัตราเงินปันผลระดับ 3% ส่วนระดับความผันผวนของตลาดหุ้นไทยในระยะ 12 เดือนข้างหน้า จะอยู่ที่ระดับ 12%
“ในส่วนของกลุ่มอุตสาหกรรมที่โดดเด่นในปีนี้ ได้แก่ กลุ่มขนส่งและธุรกิจการบิน กลุ่มมีเดียที่ได้รับอานิสงส์จากทีวีดิจิตอล และหุ้นกลุ่มรับเหมาก่อสร้างและอสังหาริมทรัพย์ เป็นต้น แนะลงทุนในหุ้นที่ให้ผลตอบแทนดีจากผลการดำเนินงานที่เติบโต มีส่วนแบ่งทางการตลาดเพิ่มขึ้น โดยให้ขยายระยะเวลาการถือครองหุ้นในช่วงสั้น หรือ 1 เดือน ส่วนหุ้นเด่นในกลุ่ม Big Cap ได้แก่ TRUE, ADVANC, BH, BGH และหุ้นที่มีความโดดเด่นได้แก่ RS, MONO, ANAN, UNQ, BKD, CBG, S, SINGER, TPIPL”