“เอฟแอนด์เอ็น” รักษาฐานส่วนแบ่งตลาด 1 ใน 3 ผลิตภัณฑ์นมกระป๋องอาเซียน ขยายการถือครองลิขสิทธิ์แบรนด์ “คาร์เนชั่น”, “ตราหมี”, “ตราหมีโกลด์”, “ไอดีลมิลค์” และ “มิลค์เมด” ยาวถึงปี 2580 จากเดิมที่จะสิ้นสุดสัญญาในปี 2560 พร้อมขยายไลน์การผลิตในไทยเพิ่ม 30-40% รองรับความต้องการใน 3-5 ปี หลังทำยอดขาย 1.2 หมื่นล้านบาทในปี 2557 สูงกว่ามูลค่าตลาดรวม 1 หมื่นล้านบาท
นายลิม ยิว โฮ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท เฟรเซอร์ แอนด์นีฟ โฮลดิ้งส์ เบอร์ฮาด จำกัด (เอฟแอนด์เอ็น) เปิดเผยว่า หลังจากที่บริษัทฯ ได้ลิขสิทธิ์แบรนด์ของ “เนสท์เล่” มาตั้งแต่ปี 2550 ด้วยมูลค่า 310 ล้านริงกิต (ประมาณ 2.8 พันล้านบาท) ล่าสุดได้ต่อสัญญาลิขสิทธิ์เพิ่มอีก 22 ปีไปจนถึงปี 2580 จากเดิมที่จะสิ้นสุดสัญญาการถือครองลิขสิทธิ์แบรนด์ในปี 2560 โดย “เอฟแอนด์เอ็น” จะเป็นผู้ผลิตและจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ครีมเทียมข้นหวานและข้นจืด นมสเตอริไลซ์กระป๋อง นมยูเอชที ผลิตภัณฑ์นมพาสเจอไรซ์ และเครื่องดื่มน้ำผลไม้ รวมถึงเครื่องจักรและอุปกรณ์การผลิตของ “เนสท์เล่” ภายใต้แบรนด์ “คาร์เนชั่น”, “ตราหมี”, “ตราหมีโกลด์”, “ไอดีลมิลค์” และ “มิลค์เมด” ในประเทศสิงคโปร์ มาเลเซีย บรูไน ลาว และไทย
ภายใต้สัญญาครั้งใหม่ บริษัทฯ จะยังคงเป็นผู้ผลิต จัดจำหน่าย บริหารการตลาดและการขายผลิตภัณฑ์ “คาร์เนชั่น” ในประเทศไทย ลาว และกัมพูชา ตลอดจนครีมเทียมข้นหวานและข้นจืด “คาร์เนชั่น” นมข้นหวาน “ไอดีล” นมข้นหวาน “มิลค์เมด” และครีมเทียมชนิดหวานสำหรับเครื่องดื่มในประเทศมาเลเซีย บรูไน และสิงคโปร์ นอกจากนี้ยังจะเป็นผู้ผลิตและจัดจำหน่ายนมสดสเตอริไลซ์ “ตราหมี” และนม “ตราหมีโกลด์” ในประเทศไทย และลาว
ขณะที่แบรนด์เครื่องดื่ม “ไมโล ยูเอชที” และนม “ตราหมี ยูเอชที” ในประเทศไทยและภูมิภาคอินโดจีนจะกลับคืนสู่การบริหารจัดการของ “เนสท์เล่” ซึ่งเป็นไปตามการปรับแผนยุทธศาสตร์ของบริษัทฯ เพื่อเสริมสร้างกลยุทธ์ระดับภูมิภาคในกลุ่มผลิตภัณฑ์ดังกล่าวให้แข็งแกร่งขึ้น
“การที่บริษัทฯ ได้บรรลุข้อตกลงในการขยายถือครองลิขสิทธิ์แบรนด์ก่อนสิ้นสุดสัญญาในปี 2560 นับเป็นบทพิสูจน์ถึงความเชื่อมั่นของเนสท์เล่ที่มีต่อศักยภาพในการดำเนินธุรกิจของเอฟแอนด์เอ็น โดยกรอบเวลาระยะที่ยาวขึ้นจะส่งผลให้บริษัทฯ มีความยืดหยุ่นในการวางแผนและลงทุนมากขึ้นเพื่อสร้างโอกาสในการเติบโตให้กลุ่มผลิตภัณฑ์นมกระป๋องทั้งพอร์ต โดยปัจจุบันเอฟแอนด์เอ็นมีกลุ่มผลิตภัณฑ์นมกระป๋องที่ครอบคลุมมากที่สุดในภูมิภาคอาเซียน คิดเป็นสัดส่วนประมาณ 1 ใน 3 ของตลาด”
นับตั้งแต่บริษัทฯ ซื้อลิขสิทธิ์กับเนสท์เล่มาตั้งแต่ปี 2550 ถือได้ว่าประสบความสำเร็จในการผลักดันแบรนด์ “คาร์เนชั่น” ให้เป็นผู้นำตลาดในทุกประเทศ โดยได้มีการลงทุน 600 ล้านริงกิต (ประมาณ 5.4 พันล้านบาท) ในการก่อตั้งโรงงานในนิคมอุตสาหกรรมโรจนะ จ.พระนครศรีอยุธยา และในเมืองปูเลา อินดาห์ ประเทศมาเลเซีย ซึ่งถือเป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่อแบรนด์ต่างๆ ของ “เนสท์เล่”
ปัจจุบันบริษัทฯ มีสายการผลิตในประเทศมาเลเซีย สิงคโปร์ เวียดนาม และไทยซึ่งถือเป็นสายการผลิตที่ใหญ่ที่สุด โดยในปี 2558 บริษัทฯ มีแผนลงทุนเพิ่มอีก 300 ล้านบาทเพื่อขยายสายการผลิตและบรรจุภัณฑ์นมข้นจืด “คาร์เนชั่น” ที่โรงงานผลิตในนิคมอุตสาหกรรมโรจนะเพิ่มขึ้นอีก 30-40% เพื่อรองรับความต้องการของตลาดที่เพิ่มสูงขึ้นภายในระยะเวลา 3-5 ปี
นายลิม ยิว โฮ ยังกล่าวถึงตลาดผลิตภัณฑ์นมข้นหวานและนมข้นจืดในประเทศไทยว่ามีมูลค่ารวมประมาณ 1 หมื่นล้านบาท โดย “คาร์เนชั่น” ถือเป็นผู้นำตลาดนมระดับพรีเมียมในประเทศไทย โดยมีส่วนแบ่งทางการตลาดถึง 2 ใน 3 ของตลาดรวม โดยในปี 2557 มียอดขายเติบโตกว่า 30% คิดเป็นมูลค่าสูงกว่าตลาดคือประมาณ 1.2 หมื่นล้านบาท